เสริมจมูกกับการแก้จมูก: ต่างกันอย่างไร? ทุกอย่างที่คุณควรรู้ (อัปเดต 2025)

เสริมจมูกกับการแก้จมูก

ใครๆก็อยากมีทรงจมูกที่รับเข้ากับใบหน้าการศัลยกรรมเสริมจมูก และแก้จมูกเป็นทางออกที่ช่วยให้คุณสมหวังกับทรงจมูกที่ต้องการ ไม่ว่าจะเป็นการเพิ่มความโด่งของสันจมูก ปรับปลายจมูกให้ดูละมุน หรือแม้แต่การแก้ไขปัญหาทางโครงสร้างเพื่อให้หายใจสะดวกขึ้น อย่างไรก็ตามการเสริมจมูกไม่ใช่เพียงเรื่องของความสวยงามเท่านั้นแต่ยังต้องคำนึงถึงความปลอดภัย โครงสร้างเดิมของจมูก และผลลัพธ์ในระยะยาวด้วย

สำหรับผู้ที่เคยเสริมจมูกมาแล้วแต่พบปัญหาเช่นซิลิโคนเอียง ทรงไม่เข้ากับใบหน้า หรือเกิดภาวะแทรกซ้อน การแก้จมูกเป็นวิธีที่ช่วยปรับแก้ และคืนสมดุลให้กับโครงสร้างจมูกได้ แต่การแก้จมูกนั้นซับซ้อนกว่าการเสริมครั้งแรกต้องอาศัยเทคนิคเฉพาะทาง และประสบการณ์ของแพทย์เป็นอย่างมาก วันนี้หมอจะมาอธิบายความแตกต่างระหว่างการเสริมจมูกและการแก้จมูกเพื่อให้ทุกท่านเข้าใจถึงแนวทางการรักษาและตัดสินใจได้อย่างมั่นใจครับ

เสริมจมูกคืออะไร?

การเสริมจมูกคือการผ่าตัดเพื่อปรับแต่งโครงสร้าง และปรับรูปทรงของจมูกให้สวยงาม สมดุลกับใบหน้ามากขึ้น โดยแพทย์จะใช้วัสดุเสริมเช่นซิลิโคนมาตรฐานทางการแพทย์ หรือกระดูกอ่อนของผู้เข้ารับบริการเอง ซึ่งมีทั้งกระดูกอ่อนหลังใบหู และกระดูกซี่โครงเพื่อสร้างสันจมูกและปลายจมูกที่ได้สัดส่วน

วิธีการเสริมจมูกแบ่งออกเป็นสองประเภทหลักคือการเสริมจมูกแบบปิด และการเสริมจมูกแบบเปิด การเสริมจมูกแบบปิดจะมีแผลผ่าตัดภายในโพรงจมูกทำให้ไม่เห็นรอยแผลด้านนอก เหมาะกับเคสที่ต้องการเสริมซิลิโคนธรรมดา ในขณะที่การเสริมจมูกแบบเปิดมีการเปิดแผลบริเวณฐานจมูกเพื่อให้แพทย์สามารถปรับโครงสร้างจมูกได้อย่างละเอียด เหมาะกับการปรับแต่งโครงสร้างจมูกที่ซับซ้อน เช่น การใช้กระดูกอ่อนเสริมปลายจมูกเพื่อลดโอกาสทะลุหรือการแก้ไขรูปทรงที่ต้องปรับฐานกระดูกเดิม

สนใจเสริมจมูกหรือแก้จมูก: Pmed Clinic เสริมจมูก

เทคนิคการเสริมจมูกที่นิยมและการเปรียบเทียบข้อดี-ข้อเสีย

ซิลิโคน

ซิลิโคนเป็นวัสดุที่ใช้กันอย่างแพร่หลายในการเสริมจมูกมีหลายเกรด และหลายรูปทรงให้เลือกซึ่งสามารถปรับแต่งให้เข้ากับโครงสร้างจมูกของแต่ละบุคคล

  • เทคนิคที่ใช้: การเสริมจมูกด้วยซิลิโคนสามารถทำได้ทั้งแบบปิดและแบบเปิด ในกรณีที่ต้องการเพิ่มความโด่งของสันจมูกโดยไม่ต้องปรับโครงสร้างมาก นิยมใช้เทคนิคแบบปิด ส่วนในกรณีที่ต้องการเสริมปลายจมูกร่วมกับโครงสร้างภายในแพทย์อาจใช้เทคนิคแบบเปิด
  • ข้อดี: มีความยืดหยุ่นสูง ปรับแต่งได้ง่าย ราคาไม่สูงมากและหากต้องการแก้ไขสามารถนำออกได้โดยไม่ทำลายเนื้อเยื่อเดิม
  • ข้อเสีย: อาจเกิดปัญหาซิลิโคนลอย ซิลิโคนเอียง หรือซิลิโคนทะลุได้ หากเลือกขนาดที่ไม่เหมาะสมหรือแพทย์ไม่มีความชำนาญ

กระดูกอ่อนหลังหู

การใช้กระดูกอ่อนหลังหูเป็นอีกทางเลือกหนึ่งในการเสริมจมูกโดยมักใช้เสริมบริเวณปลายจมูกเพื่อลดโอกาสที่ซิลิโคนจะทะลุ

  • เทคนิคที่ใช้: การใช้กระดูกอ่อนหลังหูมักทำร่วมกับการเสริมซิลิโคนโดยใช้เทคนิคแบบเปิดเพื่อตกแต่งปลายจมูก กระดูกอ่อนจะถูกตัดแต่งให้เข้ากับปลายจมูกและเย็บเข้ากับโครงสร้างจมูกเดิม
  • ข้อดี: เป็นวัสดุจากร่างกายของผู้เข้ารับบริการเองทำให้ลดโอกาสการต่อต้านจากร่างกายและลดความเสี่ยงในการทะลุของปลายจมูก
  • ข้อเสีย: กระดูกอ่อนมีขนาดจำกัด ไม่สามารถใช้เสริมสันจมูกได้มาก ต้องใช้ร่วมกับซิลิโคน และอาจมีการยุบตัวบางส่วนในระยะยาว

กระดูกซี่โครง

กระดูกซี่โครงเป็นอีกหนึ่งวัสดุที่นิยมใช้ในเคสที่ต้องการปรับแต่งโครงสร้างจมูกอย่างมากหรือในกรณีที่เนื้อเยื่อเดิมไม่เพียงพอ

  • เทคนิคที่ใช้: มักใช้ในเทคนิคแบบเปิดโดยแพทย์จะนำกระดูกซี่โครงจากร่างกายผู้เข้ารับบริการมาเหลาและปรับแต่งให้เข้ากับจมูก การใช้กระดูกซี่โครงเหมาะกับเคสที่ต้องแก้ไขจมูกจากภาวะแทรกซ้อน หรือเคสที่ต้องการเปลี่ยนโครงสร้างจมูกทั้งหมด
  • ข้อดี: สามารถใช้เสริมทั้งสันจมูกและปลายจมูกได้อย่างเป็นธรรมชาติลดโอกาสการทะลุ และมีความแข็งแรงกว่าเนื้อเยื่อชนิดอื่น
  • ข้อเสีย: เป็นการผ่าตัดที่มีความซับซ้อนสูงต้องมีการเปิดแผลที่บริเวณซี่โครงเพื่อเก็บกระดูก อาจมีอาการเจ็บบริเวณแผลที่ซี่โครงและมีโอกาสที่กระดูกจะเกิดการเปลี่ยนรูปหรือยุบตัวได้ในบางกรณี

การแก้จมูกคืออะไร?

การแก้จมูกคือการผ่าตัดปรับแก้ทรงจมูกที่เคยได้รับการเสริมมาแล้วแต่เกิดปัญหาหรือไม่พอใจกับผลลัพธ์ที่ได้ ซึ่งการแก้จมูกต้องใช้เทคนิคที่ซับซ้อนกว่าเดิม เพราะต้องคำนึงถึงเนื้อเยื่อที่ถูกแก้ไขมาก่อนหน้านี้รวมถึงปัญหาที่เกิดขึ้นจากการเสริมครั้งแรก การแก้จมูกสามารถช่วยปรับโครงสร้างให้ดูสมดุลขึ้น และแก้ไขข้อผิดพลาดจากการเสริมจมูกครั้งก่อนให้ได้ผลลัพธ์ที่เป็นธรรมชาติ และเหมาะสมกับใบหน้า

นอกจากนี้การแก้จมูกไม่ได้เป็นเพียงแค่การนำซิลิโคนเดิมออกแล้วเปลี่ยนใหม่แต่ในบางกรณีอาจต้องมีการปรับฐานจมูกใหม่ทั้งหมดหรือเสริมโครงสร้างเพิ่มเติมด้วยกระดูกอ่อนหรือวัสดุอื่น ๆ เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่มั่นคงขึ้น การแก้จมูกจึงเป็นขั้นตอนที่ต้องใช้ความละเอียดและประสบการณ์ของแพทย์สูงกว่าการเสริมจมูกทั่วไป

สาเหตุที่คนเลือกแก้จมูก

  1. จมูกเอียงหรือเบี้ยว – เกิดจากการวางซิลิโคนไม่ถูกตำแหน่ง ฐานจมูกไม่สมมาตร หรือเกิดแรงกระแทกหลังผ่าตัด ซึ่งอาจทำให้จมูกดูผิดรูปและเสียความมั่นใจ การแก้ไขต้องอาศัยเทคนิคปรับฐานโครงสร้างใหม่เพื่อให้จมูกตรงและสมดุลขึ้น
  2. ทรงไม่เข้ากับใบหน้า – บางคนเสริมจมูกมาแล้วพบว่าใบหน้าดูแข็งเกินไปหรือทรงที่ได้ไม่เหมาะกับโครงหน้าของตนเองส่งผลให้โครงหน้าโดยรวมไม่ดูเป็นธรรมชาติ การแก้ไขต้องปรับทรงใหม่ให้เหมาะสมกับสัดส่วนใบหน้าของแต่ละบุคคล
  3. ซิลิโคนทะลุหรือบางจนเห็นขอบ – เกิดจากการใช้ซิลิโคนที่ยาวเกินไปหรือการที่เนื้อปลายจมูกบางเกินไปจนไม่สามารถรองรับวัสดุเสริมได้อาจส่งผลให้เกิดอาการระคายเคืองหรือการอักเสบ ต้องทำการแก้ไขด้วยการเปลี่ยนวัสดุหรือเสริมกระดูกอ่อนเพื่อเพิ่มความแข็งแรง
  4. มีพังผืดในจมูกมากเกินไป – การเกิดพังผืดอาจทำให้จมูกแข็ง ไม่เป็นธรรมชาติ และบางกรณีอาจดึงรั้งให้จมูกเสียรูปได้ในระยะยาว พังผืดมักเกิดขึ้นจากปฏิกิริยาตอบสนองของร่างกายต่อวัสดุเสริม ซึ่งต้องใช้เทคนิคพิเศษในการแก้ไขและลดโอกาสเกิดซ้ำ
  5. เกิดการติดเชื้อ – อาจเกิดจากการดูแลหลังผ่าตัดไม่ดีพอหรือร่างกายมีปฏิกิริยาต่อต้านวัสดุที่ใช้เสริม ซึ่งอาจทำให้เกิดการอักเสบ บวมแดง และมีหนองสะสม หากปล่อยทิ้งไว้อาจเป็นอันตรายต่อเนื้อเยื่อรอบๆจมูก จำเป็นต้องแก้ไขด้วยการเอาวัสดุเสริมออกและให้ยาปฏิชีวนะจนหายดีก่อนเสริมใหม่
  6. ต้องการเปลี่ยนวัสดุที่ใช้เสริม – เช่นเปลี่ยนจากซิลิโคนเป็นกระดูกอ่อนหลังหูหรือกระดูกซี่โครงเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่เป็นธรรมชาติมากขึ้น ซึ่งจะช่วยลดความเสี่ยงของการทะลุและให้สัมผัสที่นุ่มนวลกว่า วัสดุที่มาจากร่างกายเองมักจะมีความเข้ากันได้ดีกว่าและลดโอกาสเกิดพังผืด

เสริมจมูกแล้วต้องแก้ใหม่ทุกคนหรือไม่?

ไม่ใช่ทุกคนที่เสริมจมูกแล้วจำเป็นต้องแก้ไขครับ หากทำโดยแพทย์ที่มีความเชี่ยวชาญ ใช้เทคนิคที่ถูกต้อง และเลือกวัสดุที่เหมาะสมกับโครงสร้างจมูกของแต่ละคนผลลัพธ์ที่ได้ก็จะอยู่ได้นานและเป็นธรรมชาติ

อย่างไรก็ตามมีบางกรณีที่อาจต้องเข้ารับการแก้ไขจมูก เช่น กรณีที่เกิดภาวะแทรกซ้อน เช่น ซิลิโคนเอียง จมูกเบี้ยว หรือซิลิโคนทะลุ ซึ่งอาจเกิดจากการเลือกขนาดซิลิโคนที่ไม่เหมาะสมหรือดูแลตัวเองหลังผ่าตัดไม่ดีพอ อีกทั้งบางคนอาจไม่พอใจกับทรงจมูกเดิม หรือพบว่าทรงที่เลือกตอนแรกไม่เข้ากับรูปหน้าของตนเองเมื่อเวลาผ่านไปทำให้ต้องมีการปรับแก้เพิ่มเติมครับ

ปัจจัยที่ส่งผลต่อเวลาและค่าใช้จ่าย:

ระดับความซับซ้อนของเคส: หากเป็นการแก้จมูกที่มีปัญหารุนแรง เช่น จมูกเอียงหรือโครงสร้างเดิมเสียหาย จะต้องใช้เวลาและความชำนาญสูงกว่า

ประเภทของวัสดุที่ใช้: การเลือกใช้วัสดุ เช่น ซิลิโคนแบบพิเศษ กระดูกอ่อนหลังหู หรือกระดูกซี่โครง อาจเพิ่มเวลาในการผ่าตัดและค่าใช้จ่าย

เทคนิคของแพทย์: แพทย์ที่มีความเชี่ยวชาญเฉพาะด้านมักใช้เทคนิคที่ซับซ้อนกว่า แต่จะให้ผลลัพธ์ที่แม่นยำและปลอดภัยยิ่งขึ้น

ขั้นตอนและเทคนิคการแก้จมูก

  1. ประเมินปัญหาของจมูกเดิม – แพทย์จะทำการวิเคราะห์โครงสร้างจมูก และปัญหาที่เกิดขึ้นจากการเสริมครั้งแรก เพื่อวางแผนการแก้ไข
  2. เลือกเทคนิคการแก้จมูก – เทคนิคที่ใช้จะขึ้นอยู่กับปัญหาของแต่ละบุคคล เช่น
    • หากต้องการเอาซิลิโคนเดิมออก และเปลี่ยนใหม่ แพทย์อาจใช้เทคนิคแบบปิด
    • หากต้องแก้ไขโครงสร้างภายในหรือใช้วัสดุเสริมจากร่างกายเช่นกระดูกอ่อนหรือกระดูกซี่โครงจะต้องใช้เทคนิคแบบเปิด
  3. เตรียมเนื้อเยื่อหรือวัสดุเสริมใหม่ – หากมีการใช้กระดูกอ่อนหลังหูหรือกระดูกซี่โครง แพทย์จะต้องเตรียมเนื้อเยื่อจากร่างกายของผู้เข้ารับบริการ
  4. แก้ไขโครงสร้างจมูกและปรับรูปทรง – ขั้นตอนนี้ใช้ความละเอียดสูงมากแพทย์จะทำการแก้ไขอย่างระมัดระวังเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดูเป็นธรรมชาติ และมีความสมดุล
  5. การดูแลหลังการผ่าตัด – หลังจากทำการแก้จมูกแล้วแพทย์จะแนะนำการการปฏิบัติตัวและข้อแนะนำต่างๆ

ความแตกต่างระหว่างเสริมจมูกกับการแก้จมูก

  • เป้าหมาย: การเสริมจมูกมีเป้าหมายหลักเพื่อเพิ่มความสวยงาม และปรับแต่งรูปทรงให้สมดุลกับใบหน้า ส่วนการแก้จมูกนั้นมุ่งเน้นไปที่การปรับปรุงหรือแก้ไขข้อผิดพลาดจากการเสริมครั้งก่อนให้ดูดีขึ้น และช่วยเพิ่มความมั่นใจให้กับผู้เข้ารับบริการ การแก้จมูกมักเป็นการแก้ปัญหาเฉพาะที่เช่นการปรับฐานจมูกใหม่ การลดขนาดซิลิโคน หรือการเสริมกระดูกอ่อนเพื่อเพิ่มความแข็งแรงของโครงสร้างจมูก
  • กระบวนการ: การเสริมจมูกเป็นกระบวนการที่มักใช้เวลาไม่นาน และไม่ซับซ้อนมากนัก โดยขึ้นอยู่กับเทคนิคที่เลือกใช้ ในขณะที่การแก้จมูกมักต้องใช้เทคนิคที่ซับซ้อนกว่า เนื่องจากต้องมีการปรับแก้โครงสร้างเดิม ซึ่งอาจมีพังผืดหรือความเสียหายจากการเสริมครั้งก่อนจึงต้องใช้เวลานานขึ้น ในบางกรณีที่มีปัญหารุนแรงแพทย์อาจต้องใช้เทคนิคเปิดแผลแบบเต็มที่เพื่อให้สามารถปรับแต่งโครงสร้างภายในได้ละเอียดมากขึ้น

การเตรียมตัวก่อนการทำหัตถการ

เพื่อให้ผลลัพธ์ของการเสริมจมูกหรือการแก้จมูกออกมาดีที่สุด และลดความเสี่ยงจากภาวะแทรกซ้อนควรมีการเตรียมตัวอย่างเหมาะสมก่อนเข้ารับการผ่าตัดโดยมีข้อแนะนำดังต่อไปนี้:

  1. ปรึกษาแพทย์และวางแผนการรักษา – ควรเข้าพบแพทย์เพื่อประเมินโครงสร้างจมูกและพูดคุยเกี่ยวกับความต้องการของตนเอง แพทย์จะช่วยแนะนำเทคนิคและวัสดุที่เหมาะสมกับใบหน้ารวมถึงแจ้งถึงข้อจำกัดหรือความเป็นไปได้ของผลลัพธ์
  2. งดอาหารเสริมและยาที่มีผลต่อการแข็งตัวของเลือด – อย่างน้อย 2 สัปดาห์ก่อนการผ่าตัด ควรงดวิตามินบางชนิด เช่น วิตามินอี น้ำมันปลา และยาที่มีผลต่อการแข็งตัวของเลือด เช่น แอสไพรินหรือยาต้านการอักเสบบางประเภทเพื่อป้องกันภาวะเลือดออกง่ายขณะผ่าตัด
  3. งดสูบบุหรี่และเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ – ควรงดสูบบุหรี่อย่างน้อย 2-4 สัปดาห์ก่อนการผ่าตัดเพราะสารนิโคตินในบุหรี่ส่งผลให้หลอดเลือดหดตัว ทำให้การไหลเวียนเลือดไม่ดี อาจส่งผลให้แผลหายช้าหรือเกิดภาวะแทรกซ้อนได้
  4. เตรียมร่างกายให้แข็งแรง – นอนหลับให้เพียงพอและรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ โดยเฉพาะโปรตีนและวิตามินซีที่ช่วยเสริมสร้างกระบวนการซ่อมแซมเนื้อเยื่อหลังผ่าตัด
  5. งดแต่งหน้าและล้างหน้าให้สะอาดก่อนผ่าตัด – ควรล้างหน้าให้สะอาดและงดการใช้เครื่องสำอางหรือครีมบำรุงผิวบริเวณจมูกและใบหน้าในวันผ่าตัดเพื่อลดความเสี่ยงต่อการติดเชื้อ
  6. เตรียมตัวสำหรับการพักฟื้น – หลังการผ่าตัดควรมีการวางแผนเรื่องการพักฟื้นเช่นหลีกเลี่ยงกิจกรรมหนัก งดออกกำลังกายและเตรียมอุปกรณ์ที่จำเป็นเช่นหมอนรองศีรษะสูงเพื่อลดอาการบวมและแว่นตาแทนคอนแทคเลนส์ในช่วงแรก
  7. จัดเตรียมพาหนะและผู้ช่วยดูแล – ควรมีผู้ติดตามพากลับบ้านหลังผ่าตัดเนื่องจากอาจมีอาการวิงเวียนจากยาชาหรือยาสลบและควรมีคนช่วยดูแลในช่วงแรกของการพักฟื้น

การเตรียมตัวอย่างเหมาะสมก่อนการทำหัตถการจะช่วยให้ผลลัพธ์ออกมาดีที่สุด ลดภาวะแทรกซ้อนและทำให้กระบวนการฟื้นตัวเป็นไปอย่างราบรื่นมากขึ้นครับ

คำแนะนำในการเลือกคลินิกและแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ

  1. ตรวจสอบใบอนุญาตและความน่าเชื่อถือของคลินิก – คลินิกที่ได้มาตรฐานต้องมีใบอนุญาตประกอบการจากกระทรวงสาธารณสุข และมีรีวิวหรือผลงานที่สามารถตรวจสอบได้ การเลือกคลินิกที่มีชื่อเสียงและได้รับความไว้วางใจจากลูกค้าจะช่วยลดความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้น
  2. เลือกแพทย์ที่มีประสบการณ์และความเชี่ยวชาญ – ศัลยแพทย์ต้องมีใบประกอบวิชาชีพที่ถูกต้องและมีประสบการณ์ในการผ่าตัดเสริมและแก้ไขจมูกโดยเฉพาะ ควรเลือกแพทย์ที่มีความชำนาญในการใช้เทคนิคต่าง ๆ เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ปลอดภัยและเป็นธรรมชาติ
  3. ดูรีวิวและเคสตัวอย่างของผู้เข้ารับบริการ – สามารถศึกษาผลงานจากผู้ที่เคยเข้ารับบริการจริงเพื่อดูผลลัพธ์และความพึงพอใจของลูกค้า ควรตรวจสอบภาพก่อน-หลังการผ่าตัดของเคสที่มีลักษณะโครงสร้างจมูกใกล้เคียงกับตนเองเพื่อประเมินผลลัพธ์ที่คาดหวัง
  4. เข้ารับการปรึกษาก่อนตัดสินใจ – การพูดคุยกับแพทย์โดยตรงจะช่วยให้เข้าใจถึงแนวทางการรักษาและสามารถสอบถามข้อสงสัยได้ก่อนเข้ารับหัตถการ แพทย์ที่ดีควรให้คำแนะนำอย่างตรงไปตรงมาและอธิบายข้อดีข้อเสียของแต่ละเทคนิคเพื่อช่วยให้คนไข้ตัดสินใจได้อย่างถูกต้อง

บทความน่ารู้ รวมมาให้แล้วเสริมจมูก ต้องรู้อะไรบ้าง ทำที่ไหนดี (อัปเดต 2025)

การดูแลตัวเองหลังเสริมจมูกและแก้จมูก: เหมือนหรือต่างกันอย่างไร?

การดูแลหลังผ่าตัดเป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยให้ผลลัพธ์ของการเสริมจมูกหรือแก้จมูกออกมาสวยงามและลดโอกาสเกิดภาวะแทรกซ้อน แม้ว่าหลักการดูแลทั่วไปจะคล้ายกันแต่การดูแลหลังการแก้จมูกมักต้องมีความระมัดระวังมากขึ้นเนื่องจากเป็นการผ่าตัดที่ซับซ้อนกว่า มาดูกันว่ามีจุดที่เหมือนและต่างกันอย่างไรบ้าง

  1. อาการบวมและช้ำ – ทั้งการเสริมจมูกและการแก้จมูกจะมีอาการบวมและช้ำในช่วงแรก โดยอาการบวมมักอยู่ในช่วง 1-2 สัปดาห์แรก อย่างไรก็ตามในเคสแก้จมูกอาการบวมมักรุนแรงกว่าและใช้เวลานานขึ้นในการยุบตัวเนื่องจากมีการแก้ไขโครงสร้างภายในมากกว่าการเสริมครั้งแรก
  2. การดูแลแผลและการลดบวม – ควรใช้ประคบเย็นในช่วง 48 ชั่วโมงแรกเพื่อลดอาการบวมและหลังจากนั้นใช้ประคบอุ่นเพื่อช่วยให้เลือดไหลเวียนดีขึ้น สำหรับเคสแก้จมูกอาจต้องใช้เวลานานขึ้นกว่าที่อาการบวมจะลดลงและต้องระมัดระวังเรื่องการเกิดพังผืดซ้ำ
  3. การรับประทานยาและการดูแลภายใน – แพทย์จะสั่งยาปฏิชีวนะและยาแก้อักเสบเพื่อป้องกันการติดเชื้อ สำหรับเคสแก้จมูกอาจต้องได้รับยานานกว่าปกติเนื่องจากมีโอกาสเกิดภาวะแทรกซ้อนได้มากกว่า
  4. การหลีกเลี่ยงกิจกรรมที่ส่งผลต่อจมูก – ไม่ควรให้จมูกโดนกระแทกหรือกดทับ ควรหลีกเลี่ยงการใส่แว่นที่กดลงบนสันจมูกเป็นเวลาอย่างน้อย 1 เดือน ในเคสแก้จมูก อาจต้องใช้เวลานานขึ้นในการดูแลเพื่อให้โครงสร้างภายในเข้าที่อย่างสมบูรณ์
  5. การติดตามผลและการเข้าพบแพทย์ – หลังผ่าตัดควรเข้าพบแพทย์ตามนัดเพื่อเช็กอาการและประเมินผลลัพธ์ สำหรับเคสแก้จมูก แพทย์อาจนัดติดตามผลบ่อยกว่าการเสริมจมูกครั้งแรก เพื่อป้องกันภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้น

เสริมจมูกที่ PMED ดีอย่างไร?

  1. ประสบการณ์ของแพทย์ – ที่ PMED Clinic คุณหมอต้นเป็นศัลยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านการเสริมจมูกโดยเฉพาะ มีประสบการณ์มากกว่า 10 ปีผ่านเคสเสริมและแก้จมูกมาแล้วนับพันเคส ทำให้สามารถประเมินปัญหาและออกแบบทรงจมูกให้เข้ากับใบหน้าของแต่ละคนได้อย่างแม่นยำ
  2. เทคนิคเฉพาะเพื่อผลลัพธ์ที่เป็นธรรมชาติ – คุณหมอเลือกใช้เทคนิคที่เหมาะสมกับปัญหาของแต่ละเคส ไม่ว่าจะเป็นเทคนิคเสริมจมูกแบบปิดหรือแบบเปิด หรือการใช้กระดูกอ่อนเสริมปลายเพื่อให้จมูกดูละมุน ไม่แข็งทื่อ และลดโอกาสทะลุในอนาคต
  3. ห้องผ่าตัดสะอาด ปลอดภัย อุปกรณ์ครบครัน – ที่ PMED Clinic มีห้องผ่าตัดมาตรฐานโรงพยาบาล พร้อมอุปกรณ์ที่ทันสมัย ปลอดเชื้อและมีระบบควบคุมความปลอดภัยในทุกขั้นตอนของการผ่าตัด เพื่อให้คนไข้ได้รับการรักษาอย่างปลอดภัยที่สุด
  4. ไม่ต้องพักรักษาตัวนาน สามารถกลับไปใช้ชีวิตได้ตามปกติ – การผ่าตัดเสริมจมูกที่ PMED ใช้เทคนิคที่ช่วยลดการบวม ลดการกระทบกระเทือนของเนื้อเยื่อ ทำให้ระยะเวลาพักฟื้นสั้นลง คนไข้สามารถกลับไปทำงานหรือใช้ชีวิตประจำวันได้เร็วขึ้น
  5. ได้ทรงหรือแบบตามที่ได้ปรึกษาร่วมกันกับคุณหมอ – ก่อนทำการเสริมจมูกคุณหมอจะพูดคุยและวิเคราะห์โครงหน้าของคนไข้เพื่อออกแบบทรงจมูกที่เหมาะสมที่สุดซึ่งเป็นการทำให้ได้ผลลัพธ์ที่เข้ากับใบหน้าและตรงตามความต้องการของคนไข้มากที่สุด
  6. มีรีวิวจากลูกค้าจริง – PMED Clinic มีเคสรีวิวจริงจากผู้เข้ารับบริการจำนวนมากที่สามารถยืนยันถึงผลลัพธ์ที่ดีและความพึงพอใจซึ่งช่วยให้ผู้ที่กำลังตัดสินใจสามารถมั่นใจในคุณภาพและความเชี่ยวชาญของคุณหมอได้
  7. รับประกันดูแลผลงานระยะเวลา 6 เดือน – 1 ปี – PMED Clinic มีการรับประกันงานเสริมจมูกเป็นระยะเวลา 6 เดือน – 1 ปี หากมีปัญหาในช่วงระยะเวลาที่กำหนดสามารถเข้ามาปรึกษาคุณหมอได้ฟรี โดยไม่มีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม

สนใจอ่านเพิ่มเติมเกี่ยวกับการปลูกผม: 42G Clinic ปลูกผม

Leave a Comment

Your email address will not be published. Required fields are marked *

Scroll to Top