ฉีดฟิลเลอร์แล้วเป็นก้อนเกิดจากอะไร? อันตรายไหม? พร้อมวิธีแก้ไข

ปัญหาของการฉีดฟิลเลอร์ที่หลายคนเจอและทำให้กังวลไม่น้อยก็คือ ฟิลเลอร์เป็นก้อน จับแล้วแข็ง หรือดูเป็นไตใต้ผิว แทนที่หน้าจะดูเนียนสวยกลับกลายเป็นดูผิดรูปจนเสียความมั่นใจ ปัญหานี้เกิดได้จากหลายสาเหตุ ไม่ว่าจะเป็นเทคนิคการฉีดที่ไม่ถูกต้อง ฟิลเลอร์ไม่ได้คุณภาพ หรือฉีดในตำแหน่งที่ผิดชั้นผิว บางคนพอเจอปัญหานี้แล้วก็เครียด ไม่รู้ว่าต้องทำยังไง หรือกลัวว่าจะแก้ไม่ได้ ถ้าคุณกำลังเผชิญกับปัญหานี้ ไม่ต้องกังวลไป มาดูกันว่าฟิลเลอร์เป็นก้อนเกิดจากอะไร อันตรายแค่ไหน และต้องแก้ยังไงให้กลับมาเนียนสวยได้อีกครั้งกันครับ
Table of Contents
สาเหตุที่ทำให้ฉีดฟิลเลอร์แล้วเป็นก้อน
ใช้ฟิลเลอร์ปลอมหรือฟิลเลอร์ที่ไม่ได้มาตรฐาน
- ฟิลเลอร์ที่มีคุณภาพต่ำหรือไม่ได้มาตรฐาน อาจมีเนื้อสัมผัสที่หนืดเกินไป ทำให้กระจายตัวไม่ดีและจับตัวเป็นก้อนใต้ผิวหนัง
- ฟิลเลอร์ที่ไม่ใช่ Hyaluronic Acid (HA) แท้ เช่น ซิลิโคนเหลวหรือฟิลเลอร์แบบกึ่งถาวร อาจไม่สามารถสลายได้เองและทำให้เกิดพังผืดแข็งตัวใต้ผิว
- การใช้ฟิลเลอร์ของปลอมยังเพิ่มความเสี่ยงต่อการอักเสบ ติดเชื้อ และเกิดผลข้างเคียงในระยะยาว ซึ่งอาจต้องผ่าตัดออกเท่านั้น
เทคนิคการฉีดที่ผิดพลาด
- หากฉีดฟิลเลอร์ผิดตำแหน่งเช่นฉีดตื้นเกินไป อาจทำให้ฟิลเลอร์ดันขึ้นมาบนผิวและเห็นเป็นก้อนชัดเจน
- การฉีดฟิลเลอร์ในปริมาณมากเกินไปในจุดเดียว อาจทำให้สารเติมเต็มรวมตัวกันเป็นก้อนแข็ง และทำให้หน้าดูไม่เป็นธรรมชาติ
- แพทย์ที่ไม่มีประสบการณ์หรือใช้เทคนิคที่ไม่เหมาะสม อาจทำให้ฟิลเลอร์ไม่กระจายตัวดีพอ ส่งผลให้เกิดเป็นก้อนหรือทำให้ใบหน้าผิดรูป
ร่างกายตอบสนองต่อฟิลเลอร์ผิดปกติ
- บางคนอาจมีปฏิกิริยาต่อฟิลเลอร์ ทำให้ร่างกายสร้างพังผืดหรือเกิดการอักเสบใต้ผิวหนัง ส่งผลให้ฟิลเลอร์จับตัวเป็นก้อน
- ภูมิคุ้มกันของร่างกายอาจมองว่าสารฟิลเลอร์เป็นสิ่งแปลกปลอมและสร้างพังผืดมาห่อหุ้ม ทำให้บริเวณที่ฉีดดูแข็งเป็นไต
- อาการเหล่านี้พบได้บ่อยในฟิลเลอร์ที่ไม่ได้มาตรฐานหรือในผู้ที่มีแนวโน้มเกิดพังผืดง่ายจากพันธุกรรม
ฉีดฟิลเลอร์ซ้ำในจุดเดิมโดยไม่สลายของเก่า
- ฟิลเลอร์บางชนิดมีอายุการใช้งานนาน หากฉีดซ้ำโดยไม่ได้ทำการสลายของเก่าก่อน อาจทำให้เกิดการสะสมและจับตัวเป็นก้อน
- การฉีดฟิลเลอร์ทับในจุดเดิมโดยไม่ได้ประเมินปริมาณที่เหลืออยู่ อาจทำให้เนื้อฟิลเลอร์รวมตัวกันเป็นชั้นหนา และทำให้ใบหน้าดูบวมไม่เป็นธรรมชาติ
- ปัญหานี้มักเกิดในบริเวณที่ต้องใช้ฟิลเลอร์ปริมาณมากเช่น ใต้ตา ขมับ หรือร่องแก้ม ซึ่งควรมีการสลายหรือปรับปริมาณให้เหมาะสมก่อนเติมใหม่
พฤติกรรมหลังฉีดฟิลเลอร์ที่ไม่ถูกต้อง
- หลังฉีดฟิลเลอร์ไม่ควรนวดหน้าแรงๆ หรือกดทับบริเวณที่ฉีด เพราะอาจทำให้ฟิลเลอร์เคลื่อนตัวผิดตำแหน่งและรวมกันเป็นก้อน
- การออกกำลังกายหนัก หรือสัมผัสความร้อนสูงเช่น ซาวน่า อบไอน้ำ หรือโดนแดดจัด อาจทำให้ฟิลเลอร์ละลายผิดรูปและทำให้ใบหน้าดูไม่เรียบเนียน
- ควรหลีกเลี่ยงพฤติกรรมเหล่านี้ในช่วง 1-2 สัปดาห์แรกหลังฉีด เพื่อให้ฟิลเลอร์เซ็ตตัวและกระจายตัวได้อย่างเหมาะสม
บทความน่ารู้ ฉีดไขมันหน้า อันตรายไหม เจาะลึก ข้อดี ข้อเสียของการฉีดไขมันหน้า
ฟิลเลอร์เป็นก้อนอันตรายไหม
ฟิลเลอร์ที่เป็นก้อนอาจไม่ใช่เรื่องอันตรายเสมอไปครับ แต่ถือว่าเป็น “สัญญาณผิดปกติ” ที่ไม่ควรมองข้าม เพราะโดยปกติแล้ว ฟิลเลอร์ของแท้ที่ฉีดโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ จะเรียบเนียน กลืนไปกับผิว ไม่จับตัวเป็นก้อน หากเกิดอาการเป็นก้อน แข็ง หรือคลำแล้วรู้สึกไม่เรียบ อาจเกิดจากหลายสาเหตุ เช่น ใช้ฟิลเลอร์ปลอม ฉีดผิดชั้นผิว ฉีดมากเกินไป หรือมีพังผืดเกิดขึ้นรอบฟิลเลอร์
หากปล่อยไว้อาจทำให้รูปหน้าเพี้ยน อักเสบ หรือมีความเสี่ยงต่อการติดเชื้อได้ในระยะยาว แนะนำให้เข้าพบแพทย์เพื่อประเมินว่าเป็นก้อนที่อันตรายหรือไม่ และจำเป็นต้องฉีดสลายหรือขูดออกหรือเปล่าครับ
สาเหตุที่ทำให้ฉีดฟิลเลอร์แล้วเป็นก้อน
ใช้ฟิลเลอร์ปลอมหรือฟิลเลอร์ที่ไม่ได้มาตรฐาน
- ฟิลเลอร์ที่มีคุณภาพต่ำหรือไม่ได้มาตรฐาน อาจมีเนื้อสัมผัสที่หนืดเกินไป ทำให้กระจายตัวไม่ดีและจับตัวเป็นก้อนใต้ผิวหนัง
- ฟิลเลอร์ที่ไม่ใช่ Hyaluronic Acid (HA) แท้ เช่น ซิลิโคนเหลวหรือฟิลเลอร์แบบกึ่งถาวร อาจไม่สามารถสลายได้เองและทำให้เกิดพังผืดแข็งตัวใต้ผิว
- การใช้ฟิลเลอร์ของปลอมยังเพิ่มความเสี่ยงต่อการอักเสบ ติดเชื้อ และเกิดผลข้างเคียงในระยะยาว ซึ่งอาจต้องผ่าตัดออกเท่านั้น
เทคนิคการฉีดที่ผิดพลาด
- หากฉีดฟิลเลอร์ผิดตำแหน่งเช่นฉีดตื้นเกินไป อาจทำให้ฟิลเลอร์ดันขึ้นมาบนผิวและเห็นเป็นก้อนชัดเจน
- การฉีดฟิลเลอร์ในปริมาณมากเกินไปในจุดเดียว อาจทำให้สารเติมเต็มรวมตัวกันเป็นก้อนแข็ง และทำให้หน้าดูไม่เป็นธรรมชาติ
- แพทย์ที่ไม่มีประสบการณ์หรือใช้เทคนิคที่ไม่เหมาะสม อาจทำให้ฟิลเลอร์ไม่กระจายตัวดีพอ ส่งผลให้เกิดเป็นก้อนหรือทำให้ใบหน้าผิดรูป
ร่างกายตอบสนองต่อฟิลเลอร์ผิดปกติ
- บางคนอาจมีปฏิกิริยาต่อฟิลเลอร์ ทำให้ร่างกายสร้างพังผืดหรือเกิดการอักเสบใต้ผิวหนัง ส่งผลให้ฟิลเลอร์จับตัวเป็นก้อน
- ภูมิคุ้มกันของร่างกายอาจมองว่าสารฟิลเลอร์เป็นสิ่งแปลกปลอมและสร้างพังผืดมาห่อหุ้ม ทำให้บริเวณที่ฉีดดูแข็งเป็นไต
- อาการเหล่านี้พบได้บ่อยในฟิลเลอร์ที่ไม่ได้มาตรฐานหรือในผู้ที่มีแนวโน้มเกิดพังผืดง่ายจากพันธุกรรม
ฉีดฟิลเลอร์ซ้ำในจุดเดิมโดยไม่สลายของเก่า
- ฟิลเลอร์บางชนิดมีอายุการใช้งานนาน หากฉีดซ้ำโดยไม่ได้ทำการสลายของเก่าก่อน อาจทำให้เกิดการสะสมและจับตัวเป็นก้อน
- การฉีดฟิลเลอร์ทับในจุดเดิมโดยไม่ได้ประเมินปริมาณที่เหลืออยู่ อาจทำให้เนื้อฟิลเลอร์รวมตัวกันเป็นชั้นหนา และทำให้ใบหน้าดูบวมไม่เป็นธรรมชาติ
- ปัญหานี้มักเกิดในบริเวณที่ต้องใช้ฟิลเลอร์ปริมาณมากเช่น ใต้ตา ขมับ หรือร่องแก้ม ซึ่งควรมีการสลายหรือปรับปริมาณให้เหมาะสมก่อนเติมใหม่
พฤติกรรมหลังฉีดฟิลเลอร์ที่ไม่ถูกต้อง
- หลังฉีดฟิลเลอร์ไม่ควรนวดหน้าแรงๆ หรือกดทับบริเวณที่ฉีด เพราะอาจทำให้ฟิลเลอร์เคลื่อนตัวผิดตำแหน่งและรวมกันเป็นก้อน
- การออกกำลังกายหนัก หรือสัมผัสความร้อนสูงเช่น ซาวน่า อบไอน้ำ หรือโดนแดดจัด อาจทำให้ฟิลเลอร์ละลายผิดรูปและทำให้ใบหน้าดูไม่เรียบเนียน
- ควรหลีกเลี่ยงพฤติกรรมเหล่านี้ในช่วง 1-2 สัปดาห์แรกหลังฉีด เพื่อให้ฟิลเลอร์เซ็ตตัวและกระจายตัวได้อย่างเหมาะสม
ฉีดฟิลเลอร์แล้วเป็นก้อน กังวลว่ากี่วันจะหาย?
การฉีดฟิลเลอร์เป็นหัตถการที่ช่วยเติมเต็มและปรับรูปหน้าให้ดูสวยได้ดีเลยครับ แต่บางคนอาจเจอปัญหาฟิลเลอร์เป็นก้อน จับแล้วแข็ง ไม่เรียบเนียน ทำให้ขาดความมั่นใจ เกิดปัญหานี้ต้องใช้เวลากี่วันกว่าจะหาย? หรือควรรีบแก้ไขทันที
ฟิลเลอร์เป็นก้อน กี่วันถึงจะหาย?
1 – 3 วันแรกหลังฉีด: อาการบวมและฟิลเลอร์ยังไม่เซ็ตตัว
- ในช่วง 24-72 ชั่วโมงแรก อาจรู้สึกว่าฟิลเลอร์เป็นก้อน นูน หรือแข็งเล็กน้อย ซึ่งเป็นเรื่องปกติ
- อาการบวมจากการฉีดมักทำให้รู้สึกว่าฟิลเลอร์ไม่เรียบ ซึ่งจะดีขึ้นเมื่ออาการบวมลดลง
- วิธีดูแล: หลีกเลี่ยงการกด นวด หรือสัมผัสบริเวณที่ฉีด เพื่อป้องกันฟิลเลอร์เคลื่อนผิดตำแหน่ง
3 – 7 วันหลังฉีด: ฟิลเลอร์เริ่มเซ็ตตัว อาการบวมลดลง
- ฟิลเลอร์จะเริ่มเข้าที่และกระจายตัวดีขึ้น ทำให้ความรู้สึกเป็นก้อนลดลง
- หากยังมีก้อนเล็กๆ แต่อ่อนนุ่มลง ไม่ต้องกังวล เพราะร่างกายกำลังปรับตัว
- วิธีดูแล: ควรดื่มน้ำมากๆ และหลีกเลี่ยงความร้อนสูง เช่น ซาวน่า อบไอน้ำ หรือแสงแดดจัด เพื่อช่วยให้ฟิลเลอร์เซ็ตตัวได้ดี
1 – 2 สัปดาห์หลังฉีด: ฟิลเลอร์ควรเข้าที่แล้ว
- อาการบวมควรหายสนิท และฟิลเลอร์ควรกลืนไปกับผิว
- หากยังมีก้อนที่แข็งผิดปกติหรือจับแล้วเป็นไต ควรเข้าพบแพทย์เพื่อตรวจสอบ
- วิธีแก้ไข: แพทย์อาจใช้เทคนิคการนวดปรับ หรือใช้เอนไซม์ไฮยาลูโรนิเดส (Hyaluronidase) สลายบางส่วน
2 สัปดาห์ – 1 เดือนหลังฉีด: ฟิลเลอร์ที่เป็นก้อนควรได้รับการแก้ไข
- ฟิลเลอร์ควรเซ็ตตัวเรียบร้อย หากยังจับแล้วเป็นก้อนแข็ง อาจเกิดจากฟิลเลอร์ผิดตำแหน่งหรือเกิดพังผืด
- ฟิลเลอร์ที่ไม่ได้มาตรฐาน หรือฉีดในปริมาณที่มากเกินไปอาจทำให้เป็นก้อนถาวร
- วิธีแก้ไข: หากฟิลเลอร์ไม่สามารถย่อยสลายเองได้ อาจต้องใช้วิธีฉีดสลายหรือผ่าตัดนำออก
บทความน่ารู้ เติมไขมันหน้า คืออะไร ฉีดแล้วเป็นยังไง รู้ก่อนเติมไขมันหน้าเด็ก
อาการที่อาจพบหลังฉีดฟิลเลอร์แล้วเป็นก้อน
1. อาการบวมและฟิลเลอร์เป็นก้อนชั่วคราว (หายได้เองภายใน 1-2 สัปดาห์)
- ในช่วง 24-72 ชั่วโมงแรกหลังฉีดฟิลเลอร์อาจมีอาการบวม ตึง หรือจับแล้วรู้สึกเป็นก้อนเล็กๆ ใต้ผิว ซึ่งเป็นปฏิกิริยาปกติของร่างกายต่อสารเติมเต็มที่เพิ่งถูกฉีดเข้าไป
- ฟิลเลอร์บางชนิดมีลักษณะเป็นเจล เมื่อฉีดเข้าไปในชั้นผิว อาจต้องใช้เวลาให้สารกระจายตัวเข้ากับเนื้อเยื่อบริเวณนั้น อาการบวมและเป็นก้อนที่พบในช่วงแรกนี้จะค่อยๆ ลดลงเอง
- หากก้อนที่พบเป็นเพียงอาการบวมชั่วคราว มักจะหายไปภายใน 7-14 วัน โดยไม่ต้องทำการแก้ไขเพิ่มเติม ฟิลเลอร์จะเริ่มเซ็ตตัวและกลมกลืนไปกับผิว
- ในช่วงนี้ควรหลีกเลี่ยงการกด นวด หรือสัมผัสบริเวณที่ฉีดแรงๆ เพื่อป้องกันไม่ให้ฟิลเลอร์เคลื่อนที่ผิดตำแหน่ง
2. ฟิลเลอร์เป็นก้อนแข็ง จับแล้วไม่ยุบ (สัญญาณผิดปกติ อาจต้องแก้ไข)
- หากฟิลเลอร์ยังจับแล้วเป็นก้อนแข็ง หรือรู้สึกเป็นไตใต้ผิวนานกว่า 2 สัปดาห์ อาจเป็นสัญญาณว่าฟิลเลอร์ไม่ได้กระจายตัวดีพอ
- ปัญหานี้มักเกิดจากเทคนิคการฉีดที่ผิดพลาดเช่น ฉีดฟิลเลอร์ผิดชั้นผิว หรือฉีดฟิลเลอร์มากเกินไปในจุดเดียว ทำให้สารจับตัวกันแน่น
- บางกรณีอาจเกิดจากร่างกายตอบสนองต่อฟิลเลอร์ผิดปกติ ส่งผลให้เกิดพังผืดหุ้มรอบฟิลเลอร์ ทำให้จับแล้วรู้สึกเป็นก้อนแข็ง
- หากผ่านไปเกิน 1 เดือนและก้อนฟิลเลอร์ยังไม่ยุบ หรือมีอาการกดแล้วเจ็บ ควรเข้าพบแพทย์เพื่อประเมินว่าควรทำการฉีดสลายหรือแก้ไขโดยวิธีอื่น
3. ฟิลเลอร์เป็นไต หรือเป็นคลื่นใต้ผิว (เกิดจากฟิลเลอร์กระจายตัวไม่ดี)
- ฟิลเลอร์บางประเภท โดยเฉพาะชนิดที่มีเนื้อสัมผัสข้นหรือเหนียวมาก อาจกระจายตัวได้ไม่ดีพอหลังฉีด ทำให้เกิดไตเล็กๆ ใต้ผิว หรือเห็นเป็นคลื่นบนใบหน้า
- ปัญหานี้มักเกิดขึ้นจากการฉีดในชั้นผิวที่ไม่เหมาะสมเช่น ฉีดตื้นเกินไป หรือฉีดในปริมาณมากเกินไปในบริเวณเดียวกัน ทำให้ฟิลเลอร์กระจายไม่สม่ำเสมอ
- ผู้ที่มีผิวบางมากอาจเห็นคลื่นของฟิลเลอร์ชัดกว่าปกติ โดยเฉพาะบริเวณใต้ตา หน้าผาก หรือร่องแก้ม
- หากพบปัญหานี้ แพทย์อาจใช้วิธีนวดปรับฟิลเลอร์ หรือฉีดเอนไซม์สลายบางส่วนเพื่อให้เนื้อฟิลเลอร์กระจายตัวดีขึ้น
4. ฟิลเลอร์เป็นก้อนและบวมแดง อักเสบ (อันตราย ควรพบแพทย์ทันที)
- หากหลังฉีดฟิลเลอร์มีอาการบวมแดง กดแล้วเจ็บ หรือมีไข้ร่วมด้วย อาจเป็นสัญญาณของการติดเชื้อ ซึ่งจำเป็นต้องได้รับการรักษาอย่างเร่งด่วน
- การติดเชื้อจากฟิลเลอร์อาจเกิดจากเครื่องมือที่ไม่สะอาด ฟิลเลอร์ที่ไม่มีคุณภาพ หรือการฉีดในสถานที่ที่ไม่ได้มาตรฐาน
- อาการติดเชื้อมักเกิดขึ้นภายใน 3-7 วันหลังฉีดและอาจมีอาการรุนแรงขึ้นหากไม่ได้รับการรักษา
- หากปล่อยไว้ ฟิลเลอร์ที่ติดเชื้ออาจเกิดเป็นหนองหรือพังผืดใต้ผิวหนัง ซึ่งในบางกรณีอาจต้องผ่าตัดออก
5. ฟิลเลอร์เป็นก้อนและแข็งตัวถาวร (มักเกิดจากฟิลเลอร์ปลอม หรือฟิลเลอร์ที่ไม่สามารถสลายได้เอง)
- ฟิลเลอร์ที่เป็นก้อนและไม่สามารถหายไปเอง อาจเกิดจากการใช้ฟิลเลอร์ประเภทที่ไม่สามารถสลายได้ เช่นซิลิโคนเหลวหรือฟิลเลอร์ปลอม
- ฟิลเลอร์แท้ที่เป็น Hyaluronic Acid (HA) จะสามารถสลายได้เองตามธรรมชาติ หรือสามารถฉีดเอนไซม์สลายได้ แต่หากเป็นฟิลเลอร์ปลอม มักจะแข็งตัวเป็นก้อนและไม่สามารถสลายเองได้
- ปัญหานี้มักต้องใช้วิธีผ่าตัดนำฟิลเลอร์ออก เพราะฟิลเลอร์ชนิดนี้ไม่สามารถละลายได้ด้วยเอนไซม์
- หากพบว่าฟิลเลอร์ที่ฉีดมาไม่สามารถละลายเองได้หรือมีอาการผิดปกติ ควรเข้ารับการตรวจโดยแพทย์ที่เชี่ยวชาญด้านศัลยกรรมแก้ไข
ฉีดฟิลเลอร์แล้วเป็นก้อนแบบไหนที่อันตราย
การฉีดฟิลเลอร์แล้วเป็นก้อน อาจดูเหมือนเป็นเรื่องเล็กๆ แต่จริงๆ แล้วบางกรณีอาจอันตรายกว่าที่คิดครับ! โดยเฉพาะถ้าก้อนฟิลเลอร์นั้น แข็งผิดปกติ และไม่ยุบลงภายใน 2-4 สัปดาห์ แถมยังมีอาการเจ็บ กดแล้วปวด หรือบวมแดงร่วมด้วย แบบนี้ไม่ใช่เรื่องธรรมดาแน่นอน ปัญหานี้มักเกิดจากการใช้ฟิลเลอร์ปลอม หรือฟิลเลอร์ชนิดที่ไม่สามารถสลายเองได้ เช่น ซิลิโคนเหลว ซึ่งนอกจากจะทำให้หน้าผิดรูปแล้ว ยังอาจเกิดพังผืด ติดเชื้อ หรืออักเสบหนักขึ้นจนต้องผ่าตัดออก ถ้าฟิลเลอร์เป็นก้อน บวมแดง หรือมีหนอง อย่ารอช้า ควรรีบพบแพทย์ให้ไวที่สุด เพราะยิ่งปล่อยไว้นาน อาการอักเสบก็จะยิ่งลุกลาม
อีกกรณีที่ต้องระวังมากๆ คือ ฟิลเลอร์ที่ฉีดผิดตำแหน่งและไปกดทับหลอดเลือด อาจทำให้เกิดอาการเขียวช้ำผิดปกติ หรือหนักสุดคือภาวะเนื้อตาย (Necrosis) ซึ่งหมายความว่าผิวบริเวณนั้นไม่ได้รับเลือดไปหล่อเลี้ยงจนทำให้เซลล์ตายถาวร และถ้าโชคร้ายกว่านั้น ฟิลเลอร์ที่ฉีดผิดตำแหน่งอาจไหลเข้าสู่เส้นเลือดที่เชื่อมไปยังดวงตา เสี่ยงถึงขั้นตาบอดได้เลย! ถ้ามีอาการผิวซีด ชาหรือเจ็บผิดปกติหลังฉีดฟิลเลอร์ นี่ไม่ใช่เรื่องที่ควรนิ่งนอนใจ รีบพบแพทย์โดยด่วนเพื่อรักษาให้ถูกต้องก่อนที่จะสายเกินไปครับ
ตำแหน่งที่พบบ่อย ฉีดฟิลเลอร์แล้วเป็นก้อนบวม
ปัญหาฟิลเลอร์เป็นก้อนหรือบวมผิดปกติสามารถเกิดขึ้นได้ในหลายตำแหน่งของใบหน้า ซึ่งบางจุดมีความเสี่ยงสูงกว่าจุดอื่น เนื่องจากลักษณะทางกายวิภาคของผิวหนังและโครงสร้างใบหน้าที่แตกต่างกัน โดยตำแหน่งที่พบบ่อยว่าฟิลเลอร์เป็นก้อนและเกิดอาการบวมมากกว่าปกติ ได้แก่ ใต้ตา ร่องแก้ม ขมับ คาง และจมูก ซึ่งแต่ละจุดมีสาเหตุที่แตกต่างกันและต้องได้รับการดูแลเฉพาะทาง
1. ใต้ตา – ฟิลเลอร์เป็นก้อน ช้ำง่าย และบวมยาวนาน
บริเวณใต้ตาเป็นจุดที่มีผิวบางและมีเส้นเลือดเยอะ หากฉีดฟิลเลอร์ผิดชั้นหรือใช้ฟิลเลอร์ที่ไม่เหมาะกับบริเวณนี้ อาจทำให้เกิดก้อนนูน หรือเป็นคลื่นใต้ผิวได้ง่าย นอกจากนี้ฟิลเลอร์ที่กระจายตัวไม่ดีอาจทำให้เกิดอาการบวมที่ยาวนานกว่าปกติ หรือทำให้ใต้ตาดูตุ่ยขึ้นแทนที่จะเรียบเนียน
2. ร่องแก้ม – ฟิลเลอร์จับตัวเป็นก้อนหรือไหลผิดตำแหน่ง
ร่องแก้มเป็นจุดที่ต้องใช้ปริมาณฟิลเลอร์ที่เหมาะสม หากฉีดมากเกินไป หรือฉีดลึกเกินไป อาจทำให้ฟิลเลอร์จับตัวเป็นก้อนแข็ง หรือดูเป็นก้อนนูนผิดธรรมชาติ ฟิลเลอร์ที่ฉีดใกล้กล้ามเนื้ออาจเคลื่อนที่ผิดตำแหน่งเมื่อมีการขยับหน้า
3. ขมับ – ฟิลเลอร์กระจายไม่สม่ำเสมอ เกิดเป็นไตใต้ผิว
การฉีดฟิลเลอร์ขมับช่วยเติมเต็มให้ใบหน้าดูสมดุลขึ้น แต่หากฟิลเลอร์ไม่กระจายตัวดีพอ อาจทำให้เกิด ก้อนแข็งหรือเป็นไตใต้ผิวได้ เนื่องจากขมับเป็นบริเวณที่มีเนื้อเยื่อบาง และต้องใช้ฟิลเลอร์ที่มีความหนืดพอเหมาะเพื่อให้เข้ากับชั้นผิว
4. คาง – ฟิลเลอร์เป็นก้อนแข็ง หรือเกิดพังผืดในระยะยาว
การฉีดฟิลเลอร์คางมักใช้เพื่อเพิ่มความยาวของใบหน้า แต่หากฉีดมากเกินไปหรือเลือกใช้ฟิลเลอร์ที่มีความแข็งตัวสูงเกินไป อาจทำให้เกิดก้อนแข็งผิดปกติ หรือในบางกรณีอาจเกิดพังผืดใต้ผิวในระยะยาว ทำให้คางแข็งผิดธรรมชาติ
5. จมูก – ฟิลเลอร์เป็นก้อน เสี่ยงต่อการอุดตันหลอดเลือด
จมูกเป็นอีกหนึ่งจุดที่มีความเสี่ยงสูงในการฉีดฟิลเลอร์ เนื่องจากมีหลอดเลือดสำคัญจำนวนมาก หากฉีดฟิลเลอร์ผิดตำแหน่ง อาจทำให้เกิดก้อนแข็งหรือฟิลเลอร์ไหลผิดรูปได้ง่าย หากฟิลเลอร์เข้าสู่หลอดเลือด อาจทำให้เกิดการอุดตันและส่งผลร้ายแรงเช่นเนื้อตายหรือในกรณีรุนแรงอาจทำให้ตาบอด
วิธีตรวจสอบฟิลเลอร์แท้ – ฟิลเลอร์ปลอม
สิ่งที่ต้องระวังที่สุดก็คือฟิลเลอร์ปลอม! หลายคนอาจเคยได้ยินข่าวเกี่ยวกับฟิลเลอร์ปลอมที่ฉีดแล้วหน้าพัง ติดเชื้อ หรือทำให้เกิดพังผืดถาวร ซึ่งปัญหานี้เกิดขึ้นเพราะฟิลเลอร์ที่ไม่ได้มาตรฐาน หรือบางครั้งอาจเป็นซิลิโคนเหลวที่หลอกขายเป็นฟิลเลอร์แท้ ดังนั้นก่อนจะฉีดฟิลเลอร์ต้องรู้จักวิธีตรวจสอบให้มั่นใจว่าเป็นของแท้ ปลอดภัย และไม่ทำร้ายใบหน้าในระยะยาว
5 วิธีตรวจสอบฟิลเลอร์แท้ก่อนฉีด เช็กให้ชัวร์!
1. ต้องเป็นฟิลเลอร์ที่ผ่าน อย. และมีเลขทะเบียนชัดเจน
- ฟิลเลอร์แท้ที่ใช้ในไทยจะต้องได้รับการรับรองจาก สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) สามารถตรวจสอบเลขทะเบียนผลิตภัณฑ์ได้ผ่านเว็บไซต์ของ อย.
- ฟิลเลอร์ทุกกล่องต้องมีเลขล็อต วันผลิต และวันหมดอายุ ที่ตรวจสอบได้จริง
- หากคลินิกใช้ฟิลเลอร์ที่ไม่มีเลข อย. หรือไม่มีข้อมูลผลิตภัณฑ์ ควรหลีกเลี่ยงทันที
2. เช็กบรรจุภัณฑ์และซีลต้องสมบูรณ์
- ฟิลเลอร์แท้จะมาพร้อมกับบรรจุภัณฑ์ที่ปิดผนึกแน่นหนา ไม่ฉีกขาด ไม่มีรอยแกะมาก่อน
- บนกล่องต้องมีชื่อแบรนด์ โลโก้ และรายละเอียดชัดเจน ตัวหนังสือไม่เลือนลางหรือผิดเพี้ยน
- ทุกกล่องจะมี QR Code หรือ Serial Number สำหรับตรวจสอบแหล่งที่มาผ่านเว็บไซต์ของบริษัทผู้ผลิต
3. ต้องเปิดกล่องให้ดูต่อหน้า และมีสติกเกอร์บาร์โค้ดให้เช็ก
- คลินิกที่ได้มาตรฐานจะเปิดกล่องฟิลเลอร์ให้ดูต่อหน้าก่อนฉีด เพื่อให้คนไข้มั่นใจว่าใช้ฟิลเลอร์แท้
- ฟิลเลอร์แท้ทุกกล่องมีสติกเกอร์บาร์โค้ด (Sticker Seal) ติดอยู่บนไซริงค์ แสดงเลขล็อตและรายละเอียดของผลิตภัณฑ์
- หากคลินิกใช้ฟิลเลอร์ที่ไม่สามารถตรวจสอบข้อมูล หรือไม่ยอมเปิดกล่องให้ดู ควรตั้งข้อสงสัยว่าอาจเป็นของปลอม
4. ฟิลเลอร์แท้ต้องเป็น Hyaluronic Acid และสามารถฉีดสลายได้
- ฟิลเลอร์แท้ที่เป็น Hyaluronic Acid (HA) สามารถสลายได้เองตามธรรมชาติ หรือฉีดสลายได้ด้วยเอนไซม์ Hyaluronidase
- หากคลินิกแจ้งว่าฟิลเลอร์ที่ใช้ “ไม่สามารถฉีดสลายได้” หรือ “อยู่ถาวร” มีโอกาสสูงมากว่าเป็น ฟิลเลอร์ปลอม หรือสารแปลกปลอม เช่น ซิลิโคนเหลว
5. เลือกฉีดกับคลินิกที่ได้มาตรฐานและแพทย์ที่มีใบประกอบวิชาชีพ
- คลินิกที่น่าเชื่อถือจะต้องมีใบอนุญาตประกอบกิจการจากกระทรวงสาธารณสุข และดำเนินการโดยแพทย์ที่มีใบประกอบวิชาชีพจริง
- แพทย์ที่มีประสบการณ์จะสามารถแนะนำฟิลเลอร์ที่เหมาะสมกับแต่ละจุดบนใบหน้าได้ และจะไม่มีการใช้ฟิลเลอร์เถื่อนหรือของปลอมเด็ดขาด
- หากพบว่าคลินิกมีราคาถูกผิดปกติ หรือไม่มีข้อมูลแพทย์ชัดเจน ควรหลีกเลี่ยง
วิธีแก้ปัญหาฉีดฟิลเลอร์แล้วเป็นก้อน
วิธีแก้ไขฟิลเลอร์เป็นก้อนมีอยู่หลายวิธี ขึ้นอยู่กับชนิดของฟิลเลอร์ และความรุนแรงของปัญหา ซึ่งหลักๆ มี 3 วิธี คือฉีดสลายฟิลเลอร์ ขูดฟิลเลอร์ และผ่าตัดฟิลเลอร์ออก แต่ละวิธีมีข้อดีและข้อเสียที่แตกต่างกัน
1. ฉีดสลายฟิลเลอร์ – วิธีแก้ไขที่ง่ายและเห็นผลเร็ว
การฉีดสลายฟิลเลอร์เป็นวิธีที่นิยมใช้มากที่สุด โดยใช้เอนไซม์ Hyaluronidase (ไฮยาลูโรนิเดส) ฉีดเข้าไปบริเวณที่มีฟิลเลอร์เป็นก้อน เพื่อช่วยสลายและทำให้ฟิลเลอร์ละลายไปตามธรรมชาติ
✔ เหมาะกับ:
- ฟิลเลอร์แท้ที่เป็น Hyaluronic Acid (HA) ซึ่งสามารถย่อยสลายได้
- ฟิลเลอร์ที่ฉีดผิดตำแหน่ง หรือมีปัญหาจับตัวเป็นก้อน
- ฟิลเลอร์ที่ทำให้หน้าดูผิดรูป ต้องการแก้ไขให้กลับมาเป็นธรรมชาติ
✔ ข้อดี:
- ทำได้ง่ายและรวดเร็ว ใช้เวลาเพียง 5-15 นาที
- เห็นผลทันทีภายใน 24-48 ชั่วโมง ฟิลเลอร์จะเริ่มยุบและกระจายตัว
- ไม่ต้องผ่าตัด ไม่มีแผล และไม่ต้องพักฟื้น
❌ ข้อจำกัด:
- ไม่สามารถใช้กับฟิลเลอร์ปลอมหรือฟิลเลอร์ถาวร เช่นซิลิโคนเหลว
- อาจทำให้ฟิลเลอร์ในบริเวณรอบๆ ถูกสลายไปด้วย
- อาจต้องฉีดซ้ำ 1-2 ครั้งหากฟิลเลอร์มีปริมาณมาก
2.ขูดฟิลเลอร์ – วิธีแก้ไขสำหรับฟิลเลอร์ที่เป็นก้อนแข็งหรือเป็นไตใต้ผิว
หากฉีดฟิลเลอร์ไปนานแล้วและพบว่าฟิลเลอร์เริ่มจับตัวเป็น ก้อนแข็ง หรือเกิดพังผืดใต้ผิว วิธีฉีดสลายอาจไม่ได้ผล การขูดฟิลเลอร์เป็นทางเลือกที่สามารถช่วยแก้ไขปัญหาได้
✔ เหมาะกับ:
- ฟิลเลอร์ที่ฉีดมาเป็นเวลานานจนเริ่มแข็งตัว
- ฟิลเลอร์ที่เป็นไต หรือเกิดพังผืดใต้ผิว
- ฟิลเลอร์ที่ไม่สามารถฉีดสลายได้ทั้งหมด
✔ ข้อดี:
- เป็นวิธีที่ช่วยขจัดฟิลเลอร์ได้อย่างตรงจุด โดยเฉพาะฟิลเลอร์ที่เป็นก้อนแข็ง
- ไม่ต้องฉีดเอนไซม์ซ้ำหลายครั้ง
❌ ข้อจำกัด:
- ต้องใช้วิธีเปิดแผลเล็กๆ เพื่อขูดเอาฟิลเลอร์ออก
- อาจมีรอยช้ำหรือบวมหลังทำ ต้องใช้เวลาพักฟื้นเล็กน้อย
- ไม่สามารถใช้กับฟิลเลอร์ที่ไหลผิดตำแหน่งลึกๆ ได้
3. ผ่าตัดฟิลเลอร์ออก – ทางเลือกสุดท้ายสำหรับฟิลเลอร์ปลอม หรือปัญหารุนแรง
ในกรณีที่ฟิลเลอร์เป็นซิลิโคนเหลวหรือฟิลเลอร์ที่ไม่สามารถย่อยสลายได้เอง การฉีดสลายหรือขูดอาจไม่ได้ผล วิธีที่จำเป็นต้องใช้คือการผ่าตัดนำฟิลเลอร์ออก
✔ เหมาะกับ:
- ฟิลเลอร์ปลอม เช่น ซิลิโคนเหลว หรือสารเติมเต็มที่ไม่สามารถสลายได้
- ฟิลเลอร์ที่ทำให้เกิดอาการอักเสบ ติดเชื้อ หรือมีพังผืดรุนแรง
- ฟิลเลอร์ที่ไหลผิดตำแหน่ง และอยู่ลึกในชั้นผิว
✔ ข้อดี:
- สามารถกำจัดฟิลเลอร์ที่เป็นอันตรายออกไปได้ทั้งหมด
- ลดความเสี่ยงจากอาการอักเสบเรื้อรัง หรือฟิลเลอร์ไหลผิดรูปในอนาคต
❌ ข้อจำกัด:
- เป็นวิธีที่ต้องผ่าตัด จึงมีระยะเวลาพักฟื้น
- อาจเกิดรอยแผลเป็น หากต้องเปิดแผลในจุดที่สังเกตเห็นได้
- ต้องทำโดยแพทย์ที่มีประสบการณ์เท่านั้น เพื่อป้องกันภาวะแทรกซ้อน
วิธีป้องกันการฉีดฟิลเลอร์เป็นก้อน
ปัญหานี้สามารถหลีกเลี่ยงได้หากเลือกใช้ฟิลเลอร์ที่ถูกต้อง ฉีดโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ และดูแลตัวเองอย่างเหมาะสมหลังทำ ในบทความนี้จะมาแนะนำวิธีป้องกันการฉีดฟิลเลอร์เป็นก้อน เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่เรียบเนียนและสวยงาม
1. เลือกฟิลเลอร์ที่ได้มาตรฐาน และฉีดฟิลเลอร์แท้เท่านั้น
ฟิลเลอร์ที่มีคุณภาพและผ่านการรับรองจากอย. (องค์การอาหารและยา)จะช่วยลดความเสี่ยงของการเกิดก้อนแข็งหรือการอักเสบ ฟิลเลอร์แท้ที่ใช้กันในปัจจุบันควรเป็นประเภท Hyaluronic Acid (HA) ซึ่งสามารถสลายเองได้ตามธรรมชาติและฉีดสลายได้หากต้องการแก้ไข
วิธีตรวจสอบฟิลเลอร์แท้:
✔ ฟิลเลอร์ต้องมีเลขทะเบียน อย. ไทย และสามารถตรวจสอบข้อมูลได้
✔ กล่องต้องมี สติกเกอร์บาร์โค้ดและซีลปิดสนิท
✔ ควรให้แพทย์เปิดกล่องให้ดูต่อหน้า ก่อนฉีดทุกครั้ง
หากพบว่าฟิลเลอร์ที่ใช้ไม่มีเลข อย. หรือราคาถูกผิดปกติอย่าฉีดเด็ดขาด เพราะอาจเป็นฟิลเลอร์ปลอมหรือสารเติมเต็มที่อันตราย
2. ฉีดกับแพทย์ที่มีประสบการณ์เท่านั้น
หนึ่งในสาเหตุหลักที่ทำให้ฟิลเลอร์เป็นก้อนเกิดจากเทคนิคการฉีดที่ผิดพลาด เช่น
- ฉีดตื้นเกินไป ทำให้ฟิลเลอร์ดันตัวขึ้นมาเป็นก้อนนูน
- ฉีดในปริมาณมากเกินไปในจุดเดียว ทำให้ฟิลเลอร์กระจุกตัว
- ฉีดผิดชั้นผิว ทำให้เกิดก้อนแข็งหรือฟิลเลอร์ไหลผิดตำแหน่ง
แพทย์ที่มีประสบการณ์จะรู้ว่าควรใช้ฟิลเลอร์ชนิดไหนกับบริเวณไหน ควรฉีดลึกแค่ไหน และต้องใช้ปริมาณเท่าไหร่จึงจะได้ผลลัพธ์ที่เรียบเนียนเป็นธรรมชาติ
3. ใช้ฟิลเลอร์ที่เหมาะกับแต่ละจุดของใบหน้า
ฟิลเลอร์แต่ละประเภทมีคุณสมบัติที่แตกต่างกัน บางชนิดมีเนื้อเหลว บางชนิดมีเนื้อแข็ง และถูกออกแบบมาให้เหมาะสมกับจุดที่ฉีด หากใช้ฟิลเลอร์ผิดประเภท อาจทำให้เกิดก้อนแข็งหรือไตใต้ผิวได้
ตัวอย่างฟิลเลอร์ที่เหมาะกับแต่ละจุด
✔ ใต้ตา – ควรใช้ฟิลเลอร์เนื้อนิ่มและกระจายตัวได้ดี เพื่อลดโอกาสเป็นก้อน
✔ ร่องแก้ม – ควรใช้ฟิลเลอร์ที่มีความคงตัวปานกลาง เพื่อให้ดูเป็นธรรมชาติ
✔ คางและกรอบหน้า – ควรใช้ฟิลเลอร์ที่มีเนื้อแข็งและคงตัวสูง เพื่อให้โครงหน้าชัดเจน
หากแพทย์เลือกฟิลเลอร์ที่เหมาะสมกับจุดที่ฉีด ปัญหาฟิลเลอร์เป็นก้อนจะลดลงอย่างมาก
4. อย่าฉีดฟิลเลอร์ซ้ำทับเก่าก่อนที่ของเดิมจะสลายหมด
หลายคนต้องการเติมฟิลเลอร์เพิ่มเพื่อให้ผลลัพธ์ชัดขึ้น แต่ถ้าฉีดซ้ำในบริเวณที่ฟิลเลอร์เก่ายังไม่สลายหมด อาจทำให้เกิดการสะสมและ จับตัวเป็นก้อนแข็งใต้ผิวได้
ควรเว้นระยะห่างของการฉีดแต่ละครั้งให้เหมาะสม และหากต้องการเติมเพิ่ม ควรให้แพทย์ตรวจประเมินก่อนว่าฟิลเลอร์เดิมย่อยสลายไปมากน้อยแค่ไหน
5. ดูแลตัวเองให้ถูกต้องหลังฉีดฟิลเลอร์
หลังฉีดฟิลเลอร์ ควรหลีกเลี่ยงพฤติกรรมที่อาจทำให้ฟิลเลอร์เคลื่อนตัวผิดตำแหน่ง หรือจับตัวเป็นก้อน เช่น
- หลีกเลี่ยงการกดหรือบีบแรงๆ บริเวณที่ฉีดในช่วง 48 ชั่วโมงแรก
- ดื่มน้ำมากๆ เพื่อช่วยให้ฟิลเลอร์เซ็ตตัวได้ดีและคงรูปสวยงาม
- เลี่ยงความร้อนสูง เช่น ซาวน่า อบไอน้ำ หรือออกกำลังกายหนัก ในช่วง 1-2 สัปดาห์แรก
- หลีกเลี่ยงการนอนคว่ำหรือเอียงหน้าในช่วงแรก เพราะอาจทำให้ฟิลเลอร์เคลื่อนผิดตำแหน่ง
การปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์จะช่วยให้ฟิลเลอร์เซ็ตตัวดีขึ้น และลดโอกาสเกิดก้อนแข็งใต้ผิว
สรุป
การฉีดฟิลเลอร์แล้วเป็นก้อนสามารถเกิดได้จากหลายสาเหตุเช่น ฉีดผิดชั้นผิว ฟิลเลอร์ไม่ได้มาตรฐาน หรือปฏิกิริยาของร่างกายต่อฟิลเลอร์ หากเป็นฟิลเลอร์แท้ที่ผ่าน อย. อาการบวมและเป็นก้อนมักจะเป็นเพียงอาการชั่วคราวและสามารถหายเองได้ภายใน 1-2 สัปดาห์ แต่หากฟิลเลอร์เป็นก้อนแข็งผิดปกติ ไม่กระจายตัว หรือมีอาการบวมแดง อักเสบ ควรรีบพบแพทย์เพื่อตรวจสอบ เพราะอาจเกิดจากการฉีดฟิลเลอร์ปลอม หรือฟิลเลอร์ที่ฉีดผิดตำแหน่งจนไปกดทับหลอดเลือด ซึ่งอาจส่งผลร้ายแรงต่อใบหน้า
วิธีแก้ไขฟิลเลอร์เป็นก้อนขึ้นอยู่กับชนิดของฟิลเลอร์และระดับความรุนแรงของปัญหา หากเป็นฟิลเลอร์แท้ (Hyaluronic Acid) สามารถฉีดสลายด้วยเอนไซม์ Hyaluronidase เพื่อช่วยให้ฟิลเลอร์ละลายและกลับมาเป็นธรรมชาติ แต่ถ้าฟิลเลอร์เป็นก้อนแข็ง หรือเกิดพังผืดใต้ผิว อาจต้องใช้วิธีขูดฟิลเลอร์หรือผ่าตัดฟิลเลอร์ออก โดยเฉพาะกรณีที่ใช้ฟิลเลอร์ปลอมเช่นซิลิโคนเหลวซึ่งไม่สามารถฉีดสลายได้ ดังนั้น การป้องกันที่ดีที่สุดคือเลือกฉีดฟิลเลอร์แท้ ฉีดกับแพทย์ที่มีประสบการณ์ และปฏิบัติตามคำแนะนำหลังฉีดอย่างเคร่งครัด เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่สวยเป็นธรรมชาติและปลอดภัยสูงสุดครับ
สนใจปลูกผมถาวร : 42G Clinic ปลูกผม