
สวัสดีครับวันนี้หมอจะพาทุกท่านมาทำความเข้าใจเกี่ยวกับการเติมไขมันหน้าและฟิลเลอร์ซึ่งเป็นสองทางเลือกยอดนิยมสำหรับการปรับโครงหน้า และเติมเต็มใบหน้าให้ดูอ่อนเยาว์ขึ้น หลายคนอาจสงสัยว่าระหว่างการเติมไขมันหน้า (Fat Grafting) และการฉีดฟิลเลอร์ (Filler) แบบไหนดีกว่ากัน? แบบไหนเหมาะกับตัวเอง? และมีข้อดีข้อเสียแตกต่างกันอย่างไร?
วันนี้หมอจะมาเปรียบเทียบให้เห็นภาพชัด ๆ ครับว่าทั้งสองวิธีมีจุดเด่นอย่างไรและควรเลือกใช้ในกรณีไหน เพื่อให้ทุกท่านสามารถตัดสินใจได้อย่างมั่นใจมากขึ้น
ฉีดไขมันหน้า หรือ เติมไขมันหน้า (Fat Grafting) คืออะไร
ใบหน้าของเราตามธรรมชาติจะมีไขมันเป็นองค์ประกอบสำคัญที่ช่วยให้ผิวดูอิ่มฟู เต่งตึง และดูอ่อนเยาว์ แต่เมื่ออายุมากขึ้น ไขมันใต้ผิวหนังจะค่อย ๆ ลดลงโดยเฉพาะในบริเวณขมับ แก้ม ร่องใต้ตา และหน้าผาก ส่งผลให้ใบหน้าดูโทรม ขาดมิติ และดูมีอายุมากขึ้นกว่าที่ควรจะเป็น
การเติมไขมันหน้าเป็นกระบวนการที่นำไขมันจากบริเวณที่มีไขมันส่วนเกินของร่างกาย เช่น ต้นขา หน้าท้อง หรือสะโพก มาผ่านกระบวนการคัดแยกให้ได้ไขมันที่บริสุทธิ์และมีคุณภาพดีจากนั้นฉีดกลับเข้าไปในบริเวณใบหน้าเพื่อเติมเต็มร่องลึก ช่วยปรับรูปหน้าให้สมดุลและทำให้ใบหน้าดูอ่อนเยาว์ขึ้นอย่างเป็นธรรมชาติ
ข้อดีของการเติมไขมันหน้าคือ ใช้ไขมันของตัวเองไม่มีสารแปลกปลอมเข้าสู่ร่างกาย ทำให้มีความปลอดภัยสูงและลดโอกาสเกิดอาการแพ้ อีกทั้งไขมันยังมี Growth Factors ที่ช่วยฟื้นฟูเซลล์ผิวและกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน ทำให้ผิวแข็งแรงและดูเปล่งปลั่งขึ้นด้วยครับ
อ่านเพิ่มเกี่ยวกับการเติมไขมัน: Pmed Clinic เติมไขมันหน้า
ประโยชน์ของการเติมไขมันหน้า
การเติมไขมันหน้าเป็นวิธีที่ได้รับความนิยมมากขึ้นเรื่อยๆ ในการปรับโครงหน้าและฟื้นฟูผิวพรรณ หลายคนอาจคิดว่าการเติมไขมันมีเพียงแค่การช่วยเพิ่มวอลุ่มให้กับใบหน้าแต่จริง ๆ แล้วมันมีข้อดีมากกว่านั้นเยอะครับ
- ช่วยเติมเต็มและปรับสมดุลใบหน้า – คนที่มีปัญหาแก้มตอบ ขมับบุ๋ม หรือใบหน้าดูมีมิติไม่สมดุล การเติมไขมันช่วยแก้ไขได้โดยใช้ไขมันจากร่างกายของตัวเอง ทำให้ดูเป็นธรรมชาติ
- ช่วยให้ผิวดูอ่อนเยาว์ขึ้น – ไขมันที่ฉีดเข้าไปไม่เพียงแต่เติมเต็มโครงหน้าแต่ยังมี Growth Factors ที่ช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน ช่วยให้ผิวกระชับและเรียบเนียนขึ้น
- ลดริ้วรอยและความหย่อนคล้อย – การเติมไขมันสามารถช่วยลดร่องลึกบริเวณร่องแก้ม ใต้ตา และหน้าผาก ทำให้หน้าดูสดใสขึ้นโดยไม่ต้องใช้สารเติมเต็มสังเคราะห์
- ไม่มีสารแปลกปลอมเข้าสู่ร่างกาย – เนื่องจากใช้ไขมันของตัวเองจึงลดโอกาสเกิดอาการแพ้หรือภาวะแทรกซ้อนจากสารเคมี
- ผลลัพธ์ที่อยู่ได้นาน – หากไขมันติดดีสามารถอยู่ได้นานเป็นปี ๆ ต่างจากฟิลเลอร์ที่ต้องฉีดซ้ำเป็นระยะ
ฟิลเลอร์ คืออะไร
ถ้าพูดถึงการเติมเต็มใบหน้า นอกจากการฉีดไขมันแล้วฟิลเลอร์ (Filler) ก็เป็นอีกหนึ่งตัวเลือกยอดนิยมที่ใช้กันอย่างแพร่หลาย หมอจะมาอธิบายให้ฟังครับว่าฟิลเลอร์คืออะไร และทำงานอย่างไร
ฟิลเลอร์เป็นสารเติมเต็มประเภท Hyaluronic Acid (HA) ซึ่งเป็นสารที่มีอยู่ในร่างกายของเราตามธรรมชาติและมีคุณสมบัติในการอุ้มน้ำสูงมากทำให้ผิวดูชุ่มชื้นและเต่งตึงขึ้นสามารถฉีดเข้าไปในชั้นผิวหนังเพื่อเพิ่มวอลุ่ม ปรับรูปหน้า และเติมเต็มร่องลึกได้ เช่น ร่องแก้ม ใต้ตา ขมับ คาง และริมฝีปาก
ข้อดีของฟิลเลอร์คือ เห็นผลทันที ไม่ต้องรอให้เซลล์ติดเหมือนกับการเติมไขมัน อีกทั้งยังสามารถฉีดเพื่อปรับแต่งเฉพาะจุดได้อย่างแม่นยำ ทำให้เป็นตัวเลือกที่เหมาะสำหรับคนที่ต้องการแก้ไขปัญหาบางจุดโดยไม่ต้องพักฟื้นครับ อย่างไรก็ตามฟิลเลอร์เป็นสารสังเคราะห์ที่สามารถสลายไปเองได้ตามธรรมชาติ และต้องฉีดซ้ำทุก 6-18 เดือน ขึ้นอยู่กับชนิดของฟิลเลอร์ที่ใช้
ประเภทของฟิลเลอร์ที่นิยมใช้
ฟิลเลอร์เป็นสารเติมเต็มที่ถูกนำมาใช้ในการปรับรูปหน้าและแก้ไขปัญหาร่องลึก โดยหลัก ๆ แล้วสามารถแบ่งออกเป็นสามประเภท ซึ่งแต่ละประเภทมีคุณสมบัติที่แตกต่างกันไป
ฟิลเลอร์แบบชั่วคราว เป็นฟิลเลอร์ที่ได้รับความนิยมมากที่สุดเพราะมีความปลอดภัยสูง และสามารถสลายไปเองได้ตามธรรมชาติ ฟิลเลอร์กลุ่มนี้ผลิตจากกรดไฮยาลูรอนิค (Hyaluronic Acid) ซึ่งเป็นสารที่มีอยู่ในร่างกายอยู่แล้ว เมื่อฉีดเข้าไปจะช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นและปรับรูปหน้าให้ดูอิ่มขึ้น โดยทั่วไปแล้วฟิลเลอร์ประเภทนี้จะอยู่ได้นานประมาณ 6-12 เดือน ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับยี่ห้อที่เลือกใช้ และตำแหน่งที่ฉีด ข้อดีของฟิลเลอร์แบบชั่วคราวคือ หากไม่พอใจผลลัพธ์ สามารถฉีดสลายออกได้โดยไม่เป็นอันตราย
ฟิลเลอร์แบบกึ่งถาวรเป็นฟิลเลอร์ที่ถูกพัฒนาขึ้นมาเพื่อให้มีอายุการใช้งานที่ยาวนานขึ้น โดยอาจอยู่ได้นานถึง 24 เดือน ฟิลเลอร์ประเภทนี้มักทำจากสารสังเคราะห์ที่สามารถเข้ากับเนื้อเยื่อของร่างกายได้ดี อย่างไรก็ตาม แม้ว่าจะสามารถสลายไปเองได้แต่การสลายตัวจะใช้เวลานานกว่าฟิลเลอร์แบบชั่วคราว และอาจต้องใช้เทคนิคพิเศษหากต้องการปรับแก้ไข
ฟิลเลอร์แบบถาวร หรือซิลิโคนเหลวเป็นฟิลเลอร์ที่เมื่อฉีดแล้วจะคงอยู่ถาวร ไม่สามารถสลายไปเองได้ และมีความเสี่ยงสูงหากฉีดผิดตำแหน่งหรือเกิดปัญหาจะต้องใช้การผ่าตัดเพื่อนำออกเท่านั้นฟิลเลอร์ประเภทนี้เสี่ยงต่อการเกิดพังผืด การอักเสบ และการไหลของสารฟิลเลอร์จึงไม่แนะนำให้ใช้โดยปัจจุบันฟิลเลอร์กลุ่มนี้ถูกจัดว่าเป็นสารอันตรายและไม่นิยมใช้ในคลินิกที่ได้มาตรฐาน
ความแตกต่างระหว่าง เติมไขมันหน้า vs ฟิลเลอร์
หลายคนที่กำลังตัดสินใจปรับรูปหน้าอาจสงสัยว่าการเติมไขมันหน้าและฟิลเลอร์แตกต่างกันอย่างไร และแบบไหนที่เหมาะกับตัวเองมากที่สุด วันนี้หมอจะมาอธิบายให้เข้าใจง่าย ๆ ครับ
วัสดุที่ใช้
- เติมไขมันหน้า – ใช้ไขมันของตัวเองจากบริเวณที่มีไขมันส่วนเกิน เช่น ต้นขา หน้าท้อง หรือสะโพก นำมาฉีดกลับเข้าไปที่ใบหน้า
- ฟิลเลอร์ – ใช้สารเติมเต็ม Hyaluronic Acid (HA) ซึ่งเป็นสารที่สามารถสลายไปบางส่วนได้ตามธรรมชาติไม่มีการใช้ไขมันของร่างกายแต่ข้อเสียอาจมีการตกข้างบางส่วน
การเติมเต็มและปรับรูปหน้า
- เติมไขมันหน้า – เหมาะสำหรับการเติมเต็มในบริเวณที่ต้องการวอลุ่มมาก เช่น ขมับตอบ แก้มตอบ หน้าผากแบน หรือใบหน้าที่ดูโทรมจากการสูญเสียไขมันตามอายุ
- ฟิลเลอร์ – เหมาะสำหรับการเติมเฉพาะจุดและการแก้ไขปัญหาจุดเล็ก ๆ ส่วนใหญ่ใช้เติมริมฝีปาก
ความเป็นธรรมชาติของผลลัพธ์
- เติมไขมันหน้า – เนื่องจากเป็นไขมันของตัวเองจึงให้สัมผัสและความเป็นธรรมชาติที่กลมกลืนกับเนื้อเยื่อเดิมของใบหน้า
- ฟิลเลอร์ – สามารถให้ผลลัพธ์ที่ดูเป็นธรรมชาติได้เช่นกันแต่หากฉีดปริมาณมากอาจทำให้ใบหน้าดูแข็งหรือเป็นก้อนในบางกรณี
ระยะเวลาของผลลัพธ์
- เติมไขมันหน้า – หากไขมันติดดี ผลลัพธ์สามารถอยู่ได้นานหลายปี
- ฟิลเลอร์ – อยู่ได้ประมาณ 6-18 เดือนขึ้นอยู่กับชนิดของฟิลเลอร์และตำแหน่งที่ฉีดหลังจากนั้นต้องฉีดเติมใหม่เพื่อรักษาผลลัพธ์และระวังการตกค้างจึงแนะนำให้ใช้ในปริมานที่มาก
ความเสี่ยงและผลข้างเคียง
- เติมไขมันหน้า – อาจมีอาการบวมและรอยช้ำในช่วงแรกต้องใช้เวลารอให้ไขมันเซ็ตตัวหากฉีดมากเกินไปอาจทำให้ใบหน้าดูบวมผิดธรรมชาติ
- ฟิลเลอร์ – มีความเสี่ยงหากฉีดเข้าเส้นเลือดผิดตำแหน่ง อาจเกิดภาวะแทรกซ้อน เช่น การอุดตันของเส้นเลือด ต้องฉีดโดยแพทย์ที่มีความเชี่ยวชาญ
สรุป: หากต้องการผลลัพธ์ที่ดูเป็นธรรมชาติ และอยู่ได้นานเติมไขมันหน้าอาจเป็นตัวเลือกที่เหมาะกว่า แต่หากต้องการความสะดวก รวดเร็ว และสามารถปรับแต่งเฉพาะจุดฟิลเลอร์ก็เป็นทางเลือกที่ดีเช่นกัน ทั้งนี้ควรปรึกษาแพทย์เพื่อเลือกวิธีที่เหมาะสมกับตนเองมากที่สุดครับ
ความแตกต่างของขั้นตอนด้านการทำงาน เติมไขมันหน้า vs ฟิลเลอร์
ขั้นตอนของการเติมไขมันหน้า
- ดูดไขมันจากร่างกาย – ไขมันจะถูกดูดจากบริเวณที่มีไขมันส่วนเกิน เช่น ต้นขา หน้าท้อง หรือสะโพก โดยใช้เครื่องมือเฉพาะ
- คัดแยกไขมัน – ไขมันที่ดูดออกมาจะต้องผ่านกระบวนการคัดแยกเพื่อให้ได้เซลล์ไขมันที่มีคุณภาพดี และมีการใช้ Growth Factors ผสมเพื่อช่วยให้ไขมันติดดีขึ้นและช่วยลดจุดด่างดำและฝ้า
- ฉีดไขมันกลับเข้าสู่ใบหน้า – แพทย์จะค่อยๆฉีดไขมันเข้าสู่บริเวณที่ต้องการเติมเต็ม เช่น ขมับ แก้ม หน้าผาก หรือคาง โดยใช้เทคนิคพิเศษเพื่อให้ไขมันกระจายตัวสม่ำเสมอ
- รอให้ไขมันติด – ในช่วง 3-6 เดือนแรกไขมันบางส่วนอาจถูกดูดซึมไป แต่ส่วนที่เหลือจะติดถาวรและคงอยู่ได้นานหลายปี
ขั้นตอนของการฉีดฟิลเลอร์
- เลือกประเภทของฟิลเลอร์ – แพทย์จะเลือกฟิลเลอร์ที่เหมาะสมกับบริเวณที่ต้องการฉีด เช่น ฟิลเลอร์เนื้อนิ่มสำหรับใต้ตา หรือฟิลเลอร์เนื้อแข็งสำหรับคาง
- ฉีดฟิลเลอร์เข้าสู่ผิวหนัง – ฟิลเลอร์จะถูกฉีดเข้าไปในชั้นผิวหนังที่เหมาะสม โดยแพทย์จะใช้เทคนิคเฉพาะเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดูเป็นธรรมชาติ
- ปรับแต่งและเกลี่ยให้เรียบเนียน – หลังฉีดแพทย์อาจมีการนวดหรือปรับแต่งเล็กน้อยเพื่อให้ฟิลเลอร์กระจายตัวและเข้าที่
- เห็นผลทันที – ฟิลเลอร์จะให้ผลลัพธ์ที่ชัดเจนตั้งแต่วันแรกและสามารถกลับไปใช้ชีวิตตามปกติได้เลย
สรุป: การเติมไขมันหน้าเป็นกระบวนการที่ใช้เวลานานกว่าเพราะต้องมีการดูดไขมันและคัดแยกก่อนฉีดกลับเข้าไปขณะที่ฟิลเลอร์สามารถฉีดแล้วเห็นผลได้ทันที ดังนั้นหากต้องการปรับโครงหน้าแบบละเอียดและอยู่ได้นานเติมไขมันหน้าเป็นตัวเลือกที่ดี แต่หากต้องการเติมปริมานที่เล็กน้อยฟิลเลอร์อาจเป็นทางเลือกที่เหมาะสมกว่า
ความแตกต่างด้านผลลัพธ์หลังการทำ เติมไขมันหน้า vs ฟิลเลอร์
หมอเข้าใจดีครับว่าหลายคนอาจสงสัยว่าเติมไขมันหน้าและฟิลเลอร์ให้ผลลัพธ์ต่างกันอย่างไรและจะส่งผลต่อใบหน้าของเราในระยะสั้นและระยะยาวแบบไหน วันนี้หมอจะมาอธิบายให้เห็นภาพชัด ๆ กันครับ
ผลลัพธ์หลังฉีดทันที
- ฟิลเลอร์ – เห็นผลทันทีหลังฉีดรูปหน้าเปลี่ยนแปลงไปตามที่ออกแบบไว้ไม่มีอาการบวมมากและสามารถกลับไปใช้ชีวิตประจำวันได้เลย
- เติมไขมันหน้า – อาจมีอาการบวมในช่วง 3-7 วันแรกทำให้ใบหน้าดูใหญ่กว่าปกติแต่เมื่ออาการบวมลดลงไขมันจะเริ่มเข้าที่และรูปหน้าจะดูเป็นธรรมชาติขึ้น
ผลลัพธ์หลัง 1 เดือน
- ฟิลเลอร์ – ยังคงมีความชัดเจนในบริเวณที่ฉีดโดยเฉพาะจุดที่ต้องการเพิ่มวอลุ่ม เช่น ร่องแก้ม ใต้ตา หรือคาง
- เติมไขมันหน้า – ไขมันส่วนเกินที่ร่างกายไม่ต้องการจะค่อย ๆ ถูกดูดซึมไปบางส่วนแต่ส่วนที่เหลือจะเริ่มเซ็ตตัวและให้ผลลัพธ์ที่คงที่มากขึ้น
ผลลัพธ์หลัง 6 เดือนขึ้นไป
- ฟิลเลอร์ – บางจุดอาจเริ่มสลายไป โดยเฉพาะบริเวณที่มีการเคลื่อนไหวบ่อย เช่น ริมฝีปาก หรือร่องแก้ม จำเป็นต้องฉีดเติมซ้ำเพื่อรักษาผลลัพธ์
- เติมไขมันหน้า – หากไขมันติดดีผลลัพธ์จะคงอยู่ได้นานหลายปีและยังช่วยให้ผิวดูสุขภาพดีขึ้นจากการกระตุ้นคอลลาเจนธรรมชาติของร่างกาย
ผลกระทบต่อผิวและโครงหน้า
- ฟิลเลอร์ – เป็นสารสังเคราะห์ที่ช่วยเติมเต็มเฉพาะจุดและสามารถควบคุมปริมาณและรูปทรงได้อย่างแม่นยำ แต่ถ้าใช้ในปริมาณมาก อาจทำให้ใบหน้าดูแข็ง ไม่เป็นธรรมชาติ
- เติมไขมันหน้า – นอกจากช่วยเติมเต็มแล้ว ไขมันยังมี Growth Factors ที่ช่วยบำรุงผิวทำให้ใบหน้าดูอิ่มน้ำ เปล่งปลั่งขึ้น และมีมิติที่เป็นธรรมชาติมากกว่าฟิลเลอร์
สรุป: หากต้องการผลลัพธ์ที่อยู่ได้นานเติมไขมันหน้าเป็นตัวเลือกที่ดี แต่หากต้องการปรับแต่งเฉพาะจุดแบบละเอียดและไม่อยากรอให้ไขมันเข้าที่ฟิลเลอร์อาจเป็นตัวเลือกที่ตอบโจทย์มากกว่า
ความเสี่ยงและผลข้างเคียง
แม้ว่าทั้งการเติมไขมันหน้าและการฉีดฟิลเลอร์จะเป็นหัตถการที่ได้รับความนิยมและมีความปลอดภัยสูง แต่ก็มีความเสี่ยง และผลข้างเคียงที่ควรทราบก่อนตัดสินใจทำ หมอจะอธิบายให้เห็นถึงข้อควรระวังของทั้งสองวิธี
ความเสี่ยงและผลข้างเคียงของการเติมไขมันหน้า
- อาการบวมและรอยช้ำ – หลังฉีดไขมัน หน้าอาจมีอาการบวมและรอยช้ำบริเวณที่ฉีด รวมถึงบริเวณที่ดูดไขมัน ซึ่งมักจะดีขึ้นภายใน 1-2 สัปดาห์
- ไขมันสลายบางส่วน – ไขมันที่ฉีดเข้าไปอาจถูกดูดซึมโดยร่างกายบางส่วน โดยเฉลี่ยแล้วไขมันประมาณ 20-30% อาจสลายไปในช่วง 3-6 เดือนแรก บางกรณีที่ต้องเติมซ่ำ
- ไขมันอาจกระจายตัวไม่สม่ำเสมอ – หากฉีดโดยแพทย์ที่ไม่มีประสบการณ์ ไขมันอาจจับตัวเป็นก้อนหรือกระจายไม่เท่ากัน ทำให้ใบหน้าดูไม่เป็นธรรมชาติ
- การติดเชื้อ – แม้จะพบได้น้อย แต่หากไม่ดูแลแผลบริเวณที่ดูดไขมันและฉีดไขมันอย่างถูกต้อง อาจเกิดการติดเชื้อได้
- อาการอักเสบและพังผืด – ในบางราย ร่างกายอาจเกิดปฏิกิริยาต่อเซลล์ไขมัน ทำให้เกิดพังผืดใต้ผิวหนัง ซึ่งอาจทำให้ใบหน้าดูไม่เรียบเนียน
ความเสี่ยงและผลข้างเคียงของฟิลเลอร์
- อาการบวมและรอยช้ำ – ฟิลเลอร์บางประเภทอาจทำให้เกิดอาการบวม รอยแดง หรือรอยช้ำเล็กน้อยที่บริเวณฉีด ซึ่งจะหายไปภายใน 2-5 วัน
- ฟิลเลอร์ไหลหรือเป็นก้อน – หากฉีดในปริมาณที่มากเกินไป หรือฉีดผิดชั้นผิว ฟิลเลอร์อาจจับตัวเป็นก้อน หรือไหลไปยังจุดที่ไม่ต้องการ
- การอุดตันของเส้นเลือด – นี่เป็นความเสี่ยงที่ต้องระวังเป็นพิเศษ ถ้าฟิลเลอร์ถูกฉีดเข้าไปในเส้นเลือดโดยไม่ได้ตั้งใจ อาจทำให้เกิดภาวะขาดเลือดเฉพาะที่ หรือในกรณีรุนแรงอาจส่งผลต่อการมองเห็น
- อาการแพ้และอาการบวมเรื้อรัง – ฟิลเลอร์บางประเภทอาจทำให้เกิดอาการแพ้ อาการบวมเรื้อรัง หรือกระตุ้นให้ร่างกายเกิดปฏิกิริยาต่อต้าน
- ฟิลเลอร์สลายเร็วในบางบริเวณ – ฟิลเลอร์ที่ฉีดในบริเวณที่มีการเคลื่อนไหวบ่อย เช่น ริมฝีปาก หรือร่องแก้ม อาจสลายเร็วกว่าในบริเวณอื่น ทำให้ต้องฉีดซ้ำบ่อยขึ้น
สรุป:
- หากต้องการหลีกเลี่ยงสารแปลกปลอมและต้องการผลลัพธ์ที่อยู่ได้นาน เติมไขมันหน้า อาจเป็นตัวเลือกที่ปลอดภัยกว่า แต่ต้องเตรียมตัวสำหรับการพักฟื้นและอาจต้องฉีดซ้ำในบางกรณี
- หากต้องการผลลัพธ์ที่เห็นทันทีและปรับแต่งเฉพาะจุดได้ง่าย ฟิลเลอร์ อาจเหมาะกว่า แต่ต้องฉีดโดยแพทย์ที่มีความเชี่ยวชาญเพื่อหลีกเลี่ยงความเสี่ยงจากการอุดตันเส้นเลือดหรือการไหลของฟิลเลอร์
ไม่ว่าจะเลือกวิธีไหนควรศึกษาข้อมูลให้ดีและเข้ารับคำปรึกษาจากแพทย์ที่มีประสบการณ์เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุดครับ
ข้อดีและข้อเสียของการเติมไขมันหน้า vs ฟิลเลอร์
การเลือกปรับรูปหน้าด้วยการเติมไขมันหน้าหรือการฉีดฟิลเลอร์นั้นมีข้อดีและข้อเสียที่แตกต่างกันไป
- ใช้ไขมันของตัวเอง ปลอดภัยกว่า – เนื่องจากเป็นเซลล์ไขมันจากร่างกายของเราเอง ลดความเสี่ยงต่ออาการแพ้หรือการต่อต้านจากร่างกาย
- ผลลัพธ์อยู่ได้นาน – หากไขมันติดดี สามารถอยู่ได้นานหลายปี ไม่ต้องฉีดซ้ำบ่อย ๆ เหมือนฟิลเลอร์
- ฟื้นฟูสภาพผิวไปพร้อมกัน – ไขมันมี Growth Factors ที่ช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน ทำให้ผิวดูสุขภาพดี อิ่มน้ำ และลดริ้วรอยได้
- เติมเต็มได้ในปริมาณมาก – เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการเพิ่มวอลุ่มในบริเวณกว้าง เช่น ขมับ แก้มตอบ หรือหน้าผากแบน
- เป็นธรรมชาติทั้งรูปร่างและสัมผัส – เนื่องจากเป็นไขมันของตัวเอง เมื่อติดแล้วจะให้ความรู้สึกเหมือนเนื้อเยื่อจริง ไม่มีความแข็งเหมือนฟิลเลอร์บางประเภท
ข้อเสียของการเติมไขมันหน้า
- ต้องมีการดูดไขมันจากร่างกาย – ต้องมีแผลเล็กๆจากบริเวณที่ดูดไขมัน เช่น ต้นขา หรือหน้าท้อง ซึ่งอาจมีอาการบวมและต้องดูแลเป็นพิเศษ
- ต้องใช้เวลาพักฟื้น – หลังฉีดไขมันจะมีอาการบวมและช้ำที่ใบหน้าและจุดดูดไขมัน ซึ่งอาจใช้เวลาประมาณ 5-7 วัน กว่าจะยุบลง
- ไขมันอาจสลายบางส่วน – ไขมันที่ฉีดเข้าไปประมาณ 20-30% อาจถูกดูดซึมไปโดยร่างกายในช่วง 3-6 เดือนแรก ทำให้อาจต้องเติมไขมันซ้ำ
- ต้องอาศัยแพทย์ที่มีความเชี่ยวชาญ – หากฉีดผิดพลาดไขมันอาจกระจายไม่ดี หรือจับตัวเป็นก้อน ทำให้ใบหน้าดูไม่เป็นธรรมชาติ
ข้อดีของฟิลเลอร์
- เห็นผลทันที – ไม่ต้องรอให้เซลล์ติดเหมือนไขมันสามารถปรับแต่งใบหน้าได้อย่างแม่นยำตั้งแต่วันแรก
- ไม่ต้องดูดไขมันจากร่างกาย – ไม่ต้องมีแผลจากการดูดไขมันลดขั้นตอนและเวลาพักฟื้น
- เหมาะกับการเติมเฉพาะจุดและปรับแต่งรูปหน้า – ฟิลเลอร์ช่วยเติมเต็มร่องลึกหรือเพิ่มมิติให้คาง สันจมูก และขมับได้อย่างแม่นยำ
- สามารถสลายออกได้ – หากต้องการปรับเปลี่ยนรูปหน้าสามารถฉีดสลายฟิลเลอร์ได้
- ไม่ต้องพักฟื้นนาน – หลังฉีดฟิลเลอร์สามารถกลับไปใช้ชีวิตตามปกติได้ทันทีหรืออาจมีรอยบวมแดงเล็กน้อยซึ่งจะหายไปภายใน 1-2 วัน
ข้อเสียของฟิลเลอร์
- ต้องฉีดซ้ำเป็นระยะ – ฟิลเลอร์มีอายุการใช้งาน 6-18 เดือนขึ้นอยู่กับชนิดและตำแหน่งที่ฉีด ทำให้ต้องกลับมาฉีดซ้ำ
- หากฉีดผิดพลาด อาจเกิดปัญหาได้ – เช่น ฟิลเลอร์เป็นก้อน ไหลผิดตำแหน่ง หรือร้ายแรงที่สุดคืออุดตันเส้นเลือดซึ่งอาจทำให้เกิดภาวะขาดเลือดเฉพาะที่
- บางชนิดอาจไม่เป็นธรรมชาติเท่ากับไขมัน – โดยเฉพาะฟิลเลอร์เนื้อแข็งอาจให้สัมผัสที่แข็งกว่าการเติมไขมัน
- มีโอกาสแพ้หรือเกิดอาการบวมเรื้อรัง – แม้ว่าฟิลเลอร์ส่วนใหญ่จะเป็น Hyaluronic Acid (HA) ที่สามารถสลายเองได้ แต่บางคนอาจมีปฏิกิริยาต่อสารเติมเต็ม
สรุป:
- หากต้องการผลลัพธ์ที่เป็นธรรมชาติและอยู่ได้นานการเติมไขมันหน้าเป็นตัวเลือกที่ดี แต่ต้องเตรียมตัวสำหรับระยะเวลาพักฟื้น
- หากต้องการความรวดเร็ว ปรับแต่งเฉพาะจุด และไม่ต้องพักฟื้นฟิลเลอร์อาจเหมาะสมกว่า แต่ต้องฉีดโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเพื่อลดความเสี่ยง
ทั้งสองวิธีมีข้อดีข้อเสียที่แตกต่างกัน ควรเลือกให้เหมาะกับความต้องการและสภาพผิวของแต่ละคน หากยังลังเล แนะนำให้เข้ามาปรึกษาแพทย์เพื่อประเมินว่าแบบไหนเหมาะกับคุณที่สุด
ควรเลือกอะไรดีระหว่างการเติมไขมันหน้ากับฟิลเลอร์? (ข้อควรพิจารณา)
การเลือกว่าจะเติมไขมันหน้าหรือฉีดฟิลเลอร์เป็นเรื่องที่ขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายอย่าง หมอแนะนำให้พิจารณาจากสิ่งต่อไปนี้เพื่อช่วยให้ตัดสินใจได้ง่ายขึ้นครับ
- วัตถุประสงค์ของการรักษา
- หากต้องการเติมเต็มบริเวณกว้าง เช่น ขมับตอบ แก้มตอบ หรือหน้าผากแบน การเติมไขมันหน้าจะให้ผลลัพธ์ที่เหมาะสมกว่า เพราะสามารถเติมได้ในปริมาณมาก
- หากต้องการเติมเฉพาะจุดที่ต้องการความแม่นยำสูง เช่น ร่องแก้ม คาง หรือใต้ตา ฟิลเลอร์จะเป็นตัวเลือกที่ดีกว่า เนื่องจากสามารถควบคุมปริมาณและรูปทรงได้อย่างแม่นยำ
- ระยะเวลาที่ต้องการเห็นผล
- ฟิลเลอร์จะเห็นผลทันทีหลังฉีดทำให้เป็นทางเลือกที่เหมาะสำหรับคนที่ต้องการปรับรูปหน้าอย่างเร่งด่วน
- เติมไขมันหน้าจะใช้เวลาพักฟื้นประมาณ 5-7 วันและต้องรอให้ไขมันเข้าที่ ซึ่งอาจใช้เวลาหลายสัปดาห์กว่าผลลัพธ์จะชัดเจน
- อายุของผลลัพธ์
- ฟิลเลอร์มีอายุการใช้งานประมาณ 6-18 เดือนหลังจากนั้นต้องฉีดเติมใหม่เพื่อคงผลลัพธ์
- เติมไขมันหน้า หากติดดี จะอยู่ได้นานหลายปีโดยไม่ต้องเติมบ่อย
- ระยะเวลาพักฟื้น
- ฟิลเลอร์แทบไม่ต้องพักฟื้น สามารถกลับไปใช้ชีวิตประจำวันได้ทันที
- เติมไขมันหน้าต้องมีการดูดไขมันจากร่างกายจึงต้องใช้เวลาฟื้นตัวจากทั้งจุดที่ดูดไขมันและบริเวณที่ฉีดไขมัน
- ความปลอดภัย
- ฟิลเลอร์เป็นสารสังเคราะห์ แม้ว่าจะสามารถสลายได้เอง แต่ถ้าฉีดผิดตำแหน่งอาจทำให้เกิดการอุดตันของเส้นเลือดได้
- การเติมไขมันหน้าใช้ไขมันของตัวเองทำให้ไม่มีความเสี่ยงต่อการแพ้ แต่ต้องทำโดยแพทย์ที่มีความเชี่ยวชาญเพื่อป้องกันปัญหาการกระจายตัวของไขมันที่ไม่สม่ำเสมอ
สรุป:
- ถ้าต้องการเติมเต็มปริมาณมาก ให้ผลลัพธ์ที่ดูเป็นธรรมชาติและอยู่ได้นานเติมไขมันหน้าเป็นตัวเลือกที่ดีแต่ต้องใช้เวลาพักฟื้น
- ถ้าต้องการความแม่นยำ ปรับแต่งเฉพาะจุดและเห็นผลทันทีฟิลเลอร์เป็นทางเลือกที่สะดวกและไม่ต้องรอนาน
หากยังไม่แน่ใจว่าตัวเองเหมาะกับวิธีไหนหมอแนะนำให้เข้ามาปรึกษาเพื่อประเมินสภาพผิวและเลือกวิธีที่เหมาะสมที่สุดครับ
ความปลอดภัยในการเติมไขมันหน้ากับฟิลเลอร์
เรื่องความปลอดภัยเป็นปัจจัยสำคัญที่ต้องพิจารณาก่อนตัดสินใจเลือกเติมไขมันหน้าหรือฉีดฟิลเลอร์แม้ว่าทั้งสองวิธีจะเป็นหัตถการที่ได้รับความนิยมและมีความปลอดภัยสูง แต่ก็ต้องทำโดยแพทย์ที่มีความเชี่ยวชาญเพื่อลดความเสี่ยงและให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด
ความปลอดภัยของการเติมไขมันหน้า
- ใช้ไขมันของตัวเอง ลดความเสี่ยงการแพ้ – เนื่องจากเป็นเซลล์ไขมันจากร่างกายของตัวเอง จึงไม่มีปฏิกิริยาต่อต้านหรืออาการแพ้ที่เกิดจากสารแปลกปลอม
- ต้องผ่านกระบวนการดูดไขมันและคัดแยก – เพื่อให้ได้ไขมันที่บริสุทธิ์และมีคุณภาพดี หมอที่มีประสบการณ์จะใช้เทคนิคเฉพาะเพื่อให้ไขมันที่ฉีดติดดีและกระจายตัวสม่ำเสมอ
- ต้องฉีดในชั้นที่ถูกต้อง – หากฉีดผิดชั้นไขมันอาจจับตัวเป็นก้อน หรือเกิดพังผืดได้ ดังนั้นต้องอาศัยแพทย์ที่เชี่ยวชาญ
- ความเสี่ยงต่อการติดเชื้อ – เนื่องจากต้องมีการดูดไขมันและฉีดไขมันกลับเข้าไป จึงมีโอกาสเกิดการติดเชื้อได้หากไม่ดูแลแผลให้ดี หรือหากอุปกรณ์ไม่สะอาดเพียงพอ
- ต้องรอให้ไขมันติด – ไขมันที่ฉีดเข้าไปบางส่วนจะถูกดูดซึมโดยร่างกาย ทำให้ต้องเผื่อปริมาณฉีดและอาจต้องเติมซ้ำในบางกรณี
ความปลอดภัยของการฉีดฟิลเลอร์
- เป็นสารเติมเต็มที่ได้รับการรับรอง – ฟิลเลอร์ที่เป็น Hyaluronic Acid (HA) ได้รับการรับรองจากองค์การอาหารและยา (อย.) และสามารถสลายได้เอง
- ต้องเลือกฟิลเลอร์แท้ – หากใช้ฟิลเลอร์ที่ไม่ได้มาตรฐาน หรือฟิลเลอร์ปลอม อาจทำให้เกิดการอักเสบ บวมผิดปกติ หรือเกิดพังผืดใต้ผิวหนังได้
- ต้องฉีดโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเท่านั้น – หากฉีดผิดตำแหน่ง หรือฉีดเข้าเส้นเลือด อาจทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อนร้ายแรง เช่น การอุดตันของเส้นเลือดที่อาจนำไปสู่ภาวะขาดเลือดในบริเวณที่ฉีด หรือแม้แต่การสูญเสียการมองเห็นหากเกิดในบริเวณรอบดวงตา
- สามารถฉีดสลายได้หากเกิดปัญหา – หากฟิลเลอร์มีปัญหาสามารถฉีดเอนไซม์ไฮยาลูโรนิเดส (Hyaluronidase) เพื่อสลายออกได้ ต่างจากไขมันที่หากฉีดมากเกินไปแล้วอาจไม่สามารถแก้ไขได้ง่าย
- โอกาสเกิดอาการบวมเรื้อรังหรือแพ้ – แม้ว่าจะพบได้น้อย แต่บางรายอาจเกิดอาการแพ้หรือมีอาการบวมผิดปกติหลังฉีดฟิลเลอร์ ซึ่งต้องอาศัยการรักษาเพิ่มเติม
สรุป:
- เติมไขมันหน้า มีความปลอดภัยสูงเพราะใช้เซลล์ไขมันของตัวเอง แต่ต้องทำโดยแพทย์ที่มีประสบการณ์เพื่อให้ไขมันติดดี และลดความเสี่ยงจากการฉีดผิดตำแหน่ง
- ฟิลเลอร์ ปลอดภัยหากเลือกฟิลเลอร์ที่ได้มาตรฐานและฉีดโดยแพทย์ที่เชี่ยวชาญ แต่มีความเสี่ยงเรื่องการอุดตันของเส้นเลือดหากฉีดผิดพลาด
ไม่ว่าจะเลือกวิธีไหนความปลอดภัยเป็นสิ่งสำคัญที่สุด ควรศึกษาข้อมูลให้ดีและเข้ารับคำปรึกษาจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญก่อนตัดสินใจ
เปรียบเทียบค่าใช้จ่าย ระหว่างการเติมไขมันหน้า vs ฟิลเลอร์
ค่าใช้จ่ายเป็นอีกปัจจัยสำคัญที่หลายคนใช้ในการตัดสินใจเลือกเติมไขมันหน้าหรือฉีดฟิลเลอร์ซึ่งทั้งสองวิธีมีโครงสร้างราคาที่แตกต่างกัน
ค่าใช้จ่ายของการเติมไขมันหน้า
- สามารถเติมได้หลายจุดพร้อมกัน – การเติมไขมันมักเหมาะกับผู้ที่ต้องการเติมเต็มบริเวณกว้าง เช่น ขมับ แก้ม หน้าผาก ซึ่งราคานี้ครอบคลุมทั้งใบหน้า
- ค่าใช้จ่ายครั้งเดียว ผลลัพธ์ระยะยาว – หากไขมันติดดี ผลลัพธ์สามารถอยู่ได้นานหลายปีโดยไม่ต้องเติมซ้ำบ่อย
- อาจต้องมีการเติมซ้ำบางส่วน – เนื่องจากไขมันบางส่วนอาจสลายไปในช่วง 3-6 เดือนแรก อาจมีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมหากต้องการเติมซ้ำเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่สมบูรณ์
ค่าใช้จ่ายของการฉีดฟิลเลอร์
- ต้องฉีดเติมซ้ำเป็นระยะ – ฟิลเลอร์มีอายุการใช้งานประมาณ 6-18 เดือน ทำให้ต้องกลับมาฉีดใหม่เพื่อคงผลลัพธ์ ซึ่งอาจเป็นค่าใช้จ่ายระยะยาว
- เหมาะกับการเติมเฉพาะจุด – เช่น คาง ร่องแก้ม ขมับ หรือใต้ตา หากต้องการเติมหลายบริเวณค่าใช้จ่ายจะเพิ่มขึ้นตามปริมาณที่ใช้
- บางบริเวณต้องใช้ฟิลเลอร์มากกว่าที่คิด – เช่นหากต้องการเติมเต็มขมับตอบหรือแก้มตอบ อาจต้องใช้ 5-10 ซีซี ทำให้ค่าใช้จ่ายสูงขึ้น
สรุป:
- หากต้องการเติมเต็มใบหน้าหลายบริเวณและต้องการผลลัพธ์ที่อยู่ได้นานเติมไขมันหน้าเป็นตัวเลือกที่คุ้มค่ากว่าในระยะยาว
- หากต้องการแก้ไขเฉพาะจุดแบบละเอียดและสะดวกกับการฉีดเติมซ้ำฟิลเลอร์อาจเป็นตัวเลือกที่เหมาะสมกว่า แต่ต้องคำนึงถึงค่าใช้จ่ายที่ต้องฉีดซ้ำทุกปี
ความเห็นจากคุณหมอต้น: เติมไขมันหน้า vs ฟิลเลอร์ แบบไหนดีกว่ากัน?
มีหลายคนถามหมอเสมอว่า ระหว่างเติมไขมันหน้ากับฉีดฟิลเลอร์แบบไหนดีกว่ากันคำตอบของหมอคือ เติมไขมันหน้าเพราะให้ผลลัพธ์ที่เป็นธรรมชาติและอยู่ได้นานกว่าฟิลเลอร์หมอจะอธิบายให้ฟังว่าทำไมหมอถึงแนะนำตัวเลือกนี้ครับ
ผลลัพธ์ของการเติมไขมันหน้าอยู่ได้นานและไม่ต้องฉีดบ่อย หากไขมันติดดีจะอยู่ได้นานหลายปีต่างจากฟิลเลอร์ที่ต้องฉีดซ้ำทุก 6-18 เดือน และการฉีดฟิลเลอร์บ่อย ๆ อาจทำให้เกิดพังผืดหรือทำให้ใบหน้าดูบวมเกินธรรมชาติได้
การเติมไขมันหน้าสามารถเติมได้ในปริมาณมากและปรับโครงหน้าได้ทั้งใบหน้าเหมาะกับคนที่ต้องการเพิ่มวอลุ่มบริเวณกว้าง เช่น ขมับตอบ แก้มตอบ หน้าผาก และกรอบหน้า ต่างจากฟิลเลอร์ที่เหมาะกับการแก้ไขเฉพาะจุด เช่น ร่องแก้ม หรือคาง และหากต้องใช้ปริมาณมาก ค่าใช้จ่ายของฟิลเลอร์จะสูงกว่าการเติมไขมันอย่างมาก
หมอแนะนำให้เลือกเติมไขมันหน้าหากต้องการผลลัพธ์ที่เป็นธรรมชาติอยู่ได้นานและช่วยฟื้นฟูผิวไปพร้อมกันฟิลเลอร์อาจเหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการแก้ปัญหาเฉพาะจุดแบบเร่งด่วนและไม่ต้องการพักฟื้นแต่ถ้ามองในระยะยาวการเติมไขมันหน้าตอบโจทย์ได้ดีกว่า หากยังตัดสินใจไม่ได้หมอแนะนำให้เข้ามาปรึกษาเพื่อประเมินใบหน้าและเลือกวิธีที่เหมาะกับคุณที่สุดครับ
อ่านเกี่ยวกับ Growth Factor: ทรีทเม้นท์ผมด้วย PRP และ Growth Factor
นพ.ปิยพล พัฒนครู
