ฉีดไขมันใต้ตา VS ฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา แตกต่างกันอย่างไร เลือกแบบไหนดี (2025)

ฉีดไขมันใต้ตา VS ฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา แตกต่างกันอย่างไร เลือกแบบไหนดี (2025)
ฉีดไขมันใต้ตา VS ฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา
ฉีดไขมันใต้ตา VS ฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา

ฉีดไขมันใต้ตา VS ฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา: ปัญหาใต้ตาคล้ำ ร่องลึก หรือดูโทรมเป็นสิ่งที่หลายคนกังวล เพราะทำให้ใบหน้าดูเหนื่อยล้าและแก่กว่าวัย แม้จะใช้สกินแคร์หรือเมคอัพช่วย แต่ก็ไม่สามารถแก้ไขได้อย่างถาวร การฉีดไขมันใต้ตาจึงเป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่ช่วยเติมเต็มร่องลึก ลดความคล้ำ และทำให้ผิวใต้ตาดูเรียบเนียนขึ้น นอกจากจะช่วยให้ใบหน้าดูสดใสขึ้นแล้ว ไขมันที่ฉีดยังมีคุณสมบัติช่วยฟื้นฟูสภาพผิวบริเวณใต้ตาให้เนียนนุ่มขึ้นอีกด้วย การฉีดไขมันใต้ตาจึงเป็นทางเลือกที่น่าสนใจสำหรับผู้ที่ต้องการแก้ไขปัญหาใต้ตาคล้ำและร่องลึกในระยะยาว วันนี้เราจะพามาทำความเข้าใจกับกระบวนการฉีดไขมันใต้ตา ว่าคืออะไร เหมาะกับใครบ้าง และมีข้อดีอย่างไรบ้างครับ

ปัญหาผิวรอบดวงตามีอะไรบ้าง?

ผิวรอบดวงตาเป็นบริเวณที่บอบบางและเกิดปัญหาได้ง่าย เนื่องจากมีความบางกว่าผิวส่วนอื่นของใบหน้า ทำให้ได้รับผลกระทบจากปัจจัยต่างๆเช่นอายุที่เพิ่มขึ้น พฤติกรรมการใช้ชีวิต และสภาพแวดล้อม โดยปัญหาผิวรอบดวงตาที่พบได้บ่อยมีดังนี้

1. ใต้ตาคล้ำ

ใต้ตาคล้ำ ดูเป็นหมีแพนด้าที่หลายๆ คนกังวลเกิดจากการไหลเวียนเลือดไม่ดี พันธุกรรม หรือพฤติกรรมการใช้ชีวิตเช่นนอนดึก พักผ่อนไม่เพียงพอ และการใช้สายตาหนักๆ ทำให้เส้นเลือดบริเวณใต้ตาเด่นชัดขึ้น ผิวจึงดูคล้ำและทำให้ใบหน้าดูโทรม

2. ร่องลึกใต้ตา

เมื่ออายุมากขึ้นร่างกายเกิดจากการสูญเสียคอลลาเจนและไขมันใต้ผิวทำให้ผิวบริเวณใต้ตายุบตัวลง เกิดเป็นร่องลึก ซึ่งอาจทำให้ใบหน้าดูเหนื่อยล้าและมีอายุขึ้น

3. ถุงใต้ตาหย่อนคล้อย

อายุมากขึ้น ร่างกายก้เปลี่ยนแปลงไป เช่นเดียวกับถุงใต้ตาหย่อนคล้อยที่เกิดจากไขมันสะสมใต้ตาหรือการเสื่อมของเนื้อเยื่อทำให้ถุงใต้ตานูนออกมา ส่งผลให้ใบหน้าดูอ่อนล้าและไม่สดใส

4. ริ้วรอยรอบดวงตา

เกิดจากการแสดงสีหน้าเช่นการยิ้ม หรี่ตา หรือขยี้ตาบ่อยๆ รวมถึงอายุที่เพิ่มขึ้นทำให้ผิวสูญเสียความยืดหยุ่นและเกิดริ้วรอยเล็กๆ หรือรอยตีนกา ทำให้ใบหน้าดูแก่กว่าวัย

5. ผิวแห้งและขาดความชุ่มชื้น

เนื่องจากผิวรอบดวงตาไม่มีต่อมไขมันมากนัก จึงสูญเสียน้ำได้ง่ายทำให้ผิวแห้ง ลอก หรือดูไม่เรียบเนียน ซึ่งอาจทำให้ริ้วรอยเกิดขึ้นเร็วขึ้น การดูแลผิวรอบดวงตาให้แข็งแรงและเลือกวิธีแก้ไขที่เหมาะสมจะช่วยให้ผิวบริเวณนี้ดูสดใสและสุขภาพดีขึ้น

ฉีดไขมันใต้ตา คืออะไร?

การฉีดไขมันใต้ตาเป็นวิธีที่ช่วยเติมเต็มร่องลึกและลดความหมองคล้ำบริเวณใต้ตาโดยใช้ไขมันจากร่างกายของตัวเอง กระบวนการเริ่มจากการดูดไขมันจากบริเวณที่เหมาะสม เช่น หน้าท้องหรือต้นขา จากนั้นไขมันที่ได้จะถูกนำมาผ่านกระบวนการคัดแยกเพื่อให้ได้เซลล์ไขมันที่มีคุณภาพดีที่สุด ก่อนจะถูกฉีดเข้าสู่บริเวณใต้ตาด้วยเข็มขนาดเล็ก แพทย์จะทำการกระจายไขมันให้สมดุล

บทความน่ารู้ เติมไขมันหน้า คืออะไร ฉีดแล้วเป็นยังไง รู้ก่อนฉีดไขมันหน้าเด็ก [อัปเดต 2025]

ฉีดไขมันใต้ตา ช่วยแก้ไขในเรื่องใดบ้าง

  • ร่องลึกใต้ตา
    เมื่ออายุมากขึ้นไขมันใต้ตาจะลดลงทำให้เกิดร่องลึกบริเวณใต้ตา ทำให้ใบหน้าดูโทรมและเหนื่อยล้า การฉีดไขมันช่วยเติมเต็มร่องลึกให้ดูเรียบเนียนขึ้น และช่วยให้ใบหน้าดูสดใสขึ้น
  • ใต้ตาคล้ำและหมอง
    ปัญหาขอบตาคล้ำมักเกิดจากโครงสร้างผิวที่บางหรือการไหลเวียนเลือดไม่ดี ทำให้เส้นเลือดใต้ผิวหนังเห็นชัดขึ้น การเติมไขมันช่วยเพิ่มความหนาของผิวใต้ตาทำให้สีของใต้ตาดูสว่างขึ้นและลดความคล้ำที่เห็นได้ชัด
  • ถุงใต้ตาหย่อนคล้อย
    ไขมันใต้ตาบางครั้งอาจเคลื่อนตัวลงต่ำหรือเกิดการสะสมผิดตำแหน่งจนทำให้เกิดถุงใต้ตา การฉีดไขมันสามารถช่วยเติมเต็มส่วนที่ขาดและปรับความสมดุลของไขมันใต้ตาให้ดูเรียบเนียนมากขึ้น
  • ผิวใต้ตาบางและขาดความชุ่มชื้น
    ผิวใต้ตาเป็นบริเวณที่บอบบางและแห้งง่าย การเติมไขมันช่วยให้ใต้ตาดูอิ่มน้ำและชุ่มชื้นขึ้น พร้อมกับช่วยลดเลือนริ้วรอยเล็กๆที่เกิดจากผิวแห้ง
  • ช่วยให้ใบหน้าดูสดใสและอ่อนเยาว์ขึ้น
    เมื่อร่องใต้ตาตื้นขึ้นความหมองคล้ำลดลง และผิวดูเรียบเนียนขึ้น จะทำให้ใบหน้าโดยรวมดูสดใสขึ้นทันที การฉีดไขมันใต้ตาจึงเป็นตัวช่วยที่ทำให้ใบหน้าดูอ่อนกว่าวัยโดยไม่ต้องใช้สารเติมเต็มจากภายนอก

ฉีดไขมันใต้ตา เหมาะกับใคร?

  • ผู้ที่มีร่องลึกใต้ตาและต้องการเติมเต็มให้ดูเรียบเนียนขึ้น
    ร่องลึกใต้ตาทำให้ใบหน้าดูโทรมและเหนื่อยล้าแม้ว่าจะพักผ่อนเพียงพอแล้วก็ตาม การฉีดไขมันช่วยเติมเต็มร่องลึกให้ผิวใต้ตาดูอิ่มฟูขึ้นและทำให้ใบหน้าดูสดใสขึ้น
  • ผู้ที่มีใต้ตาคล้ำจากโครงสร้างผิวที่บาง หรือไขมันใต้ตาลดลง
    ใต้ตาคล้ำไม่ได้เกิดจากการพักผ่อนไม่เพียงพอเพียงอย่างเดียวแต่ยังเกิดจากโครงสร้างผิวที่บางทำให้เห็นเส้นเลือดใต้ตาชัด การฉีดไขมันช่วยเพิ่มความหนาของชั้นผิว ทำให้สีใต้ตาดูสว่างขึ้น ลดความคล้ำที่เกิดจากปัญหาผิวบาง
  • ผู้ที่มีปัญหาถุงใต้ตาหย่อนคล้อย และต้องการปรับสมดุลไขมันใต้ตา
    การฉีดไขมันสามารถช่วยเติมเต็มจุดที่ไขมันหายไป ทำให้ผิวใต้ตาดูเรียบเนียนขึ้นและลดความหย่อนคล้อยของถุงใต้ตา โดยเฉพาะในกรณีที่ไม่ได้มีไขมันใต้ตาสะสมมากจนต้องผ่าตัดเอาออก
  • ผู้ที่เป็นภูมิแพ้และใต้ตาคล้ำจากเส้นเลือดฝอยที่เห็นชัด
    คนที่เป็นภูมิแพ้เรื้อรังมักมีใต้ตาคล้ำเนื่องจากการไหลเวียนของเลือดไม่ดีทำให้เส้นเลือดบริเวณใต้ตาเด่นชัดขึ้น การฉีดไขมันช่วยเพิ่มความหนาของชั้นผิวบริเวณใต้ตา ลดการมองเห็นของเส้นเลือดและทำให้ใต้ตาดูสว่างขึ้น
  • ผู้ที่ต้องการแก้ปัญหาผิวใต้ตาบางและแห้งง่าย
    ผิวใต้ตาเป็นบริเวณที่บอบบางและสูญเสียน้ำได้ง่าย การเติมไขมันช่วยให้ใต้ตาดูชุ่มชื้นขึ้น พร้อมลดเลือนริ้วรอยเล็กๆที่เกิดจากผิวขาดความชุ่มชื้น
  • ผู้ที่ต้องการปรับใบหน้าให้ดูสดใสและอ่อนวัยขึ้น
    การฉีดไขมันใต้ตาช่วยให้ใบหน้าดูสดชื่นขึ้น ลดความโทรมที่เกิดจากร่องลึกและใต้ตาคล้ำ เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการให้ใบหน้าดูอ่อนวัยขึ้นโดยไม่ต้องพึ่งสารเติมเต็มจากภายนอก

ฉีดไขมันใต้ตา ต่างจากการฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาอย่างไร?

บางคนก็ลังเลเพราะเคยได้ยินว่าถ้าเลือกฉีดฟิลเลอร์แล้วอาจทำให้ตาบวมเป็นก้อนหรือถ้าฉีดไขมันแล้วอาจสลายไปบางส่วนไม่คุ้มกับเงินที่เสียไปหรอเปล่า หมอเข้าใจดีว่าทั้งสองวิธีมีข้อดีและข้อจำกัดที่ต่างกัน วันนี้หมอจะมาอธิบายให้ฟังชัดๆว่าการฉีดไขมันกับฟิลเลอร์ใต้ตาแตกต่างกันอย่างไร และแบบไหนที่เหมาะกับแต่ละคนครับ

  1. วัสดุที่ใช้ในการฉีด
    เรื่องแรกที่ต่างกันชัดเจนคือวัสดุที่ใช้เติมเต็มใต้ตาครับ การฉีดไขมันใต้ตาใช้ไขมันจากร่างกายของตัวเอง โดยหมอจะดูดไขมันจากจุดที่เหมาะสมเช่นหน้าท้อง หรือต้นขาแล้วนำมาฉีดกลับเข้าไป ส่วนฟิลเลอร์ใต้ตาเป็นสารเติมเต็มประเภท Dermal Fillers ซึ่งเป็นสารเจลที่ฉีดเข้าใต้ผิวหนังที่ทำจากสารไฮยาลูโรนิกแอซิด (HA)
  2. ความคงทนของผลลัพธ์
    ถ้าต้องพูดถึงต้องผลลัพธ์ที่ได้จากทั้งสองแล้ว ผลลัพธ์ของการฉีดไขมันสามารถอยู่ได้นานกว่าเพราะไขมันที่ติดดีอาจอยู่ได้นานหลายปี ส่วนฟิลเลอร์นั้นเนื่องจากใช้วัตถุดิบที่ร่างกายสามารถย่อยสลายได้จึงจะค่อยๆสลายไปภายใน 6-18 เดือน และต้องฉีดซ้ำเป็นระยะ ถ้าคนไข้ต้องการวิธีที่อยู่ได้นานขึ้นหมอแนะนำให้ฉีดไขมันครับ
  3. ความเป็นธรรมชาติของผิวสัมผัส
    การฉีดไขมันให้ผิวสัมผัสที่เนียนกลืนไปกับเนื้อเยื่อใต้ตาได้ดี เพราะเป็นเซลล์ของตัวเอง หมอว่าถ้าทำอย่างถูกต้องจะดูเป็นเนื้อเดียวกับใบหน้า ต่างจากฟิลเลอร์ที่บางครั้งอาจเห็นเป็นก้อนหรือนูนผิดธรรมชาติ โดยเฉพาะถ้าฉีดในปริมาณที่มากเกินไป
  4. ความเสี่ยงและผลข้างเคียง
    ฟิลเลอร์มีข้อดีตรงที่สามารถสลายออกได้หากไม่พอใจผลลัพธ์ แต่อาจมีความเสี่ยงเรื่องฟิลเลอร์ไหลผิดตำแหน่ง หรืออุดตันเส้นเลือดหากฉีดผิดชั้นผิว ส่วนการฉีดไขมันไม่มีปัญหาการไหลของสารแต่บางส่วนของไขมันอาจสลายไปเองในช่วงแรกทำให้ต้องฉีดเผื่อไว้เล็กน้อยครับ
  5. ใครเหมาะกับวิธีไหน?
    หมอว่าถ้าคนไข้ต้องการปรับใต้ตาแบบชั่วคราว หรืออยากลองก่อนตัดสินใจฉีดไขมัน การฉีดฟิลเลอร์ก็เป็นตัวเลือกที่ดี เพราะเห็นผลเร็วและไม่ต้องพักฟื้นมาก แต่ถ้าอยากได้ผลลัพธ์ที่อยู่ได้นานขึ้น และไม่ต้องเติมบ่อยๆหมอแนะนำให้เลือกฉีดไขมันใต้ตาครับ เพราะช่วยฟื้นฟูผิวไปพร้อมกันและให้ผลที่ดูเป็นธรรมชาติกว่า

สุดท้ายนี้ผมว่าไม่ว่าจะเลือกฉีดไขมันหรือฟิลเลอร์ ควรปรึกษาหมอเพื่อประเมินว่าใบหน้าของเราควรใช้วิธีไหนให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุดครับ

บทความน่ารู้ เติมไขมันหน้า vs ฉีดฟิลเลอร์ แบบไหนเห็นผลดีกว่า แบบไหนเหมาะกับเรา

ฉีดไขมันใต้ตา VS ฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา

ข้อดีของการฉีดไขมันใต้ตา

  • ใช้ไขมันของตัวเอง ลดความเสี่ยงจากสารแปลกปลอม
    เนื่องจากเป็นเซลล์ไขมันจากร่างกายของผู้เข้ารับบริการเอง จึงลดโอกาสเกิดอาการแพ้หรือผลข้างเคียงจากสารเติมเต็มชนิดอื่น ร่างกายสามารถรับไขมันได้ดีทำให้ผลลัพธ์ดูกลมกลืนไปกับเนื้อเยื่อใต้ผิวหนัง นอกจากนี้ยังไม่มีสารสังเคราะห์ที่อาจทำให้เกิดปัญหาภายหลัง
  • ผลลัพธ์ติดทนนานกว่าเมื่อเทียบกับฟิลเลอร์
    เมื่อไขมันที่ฉีดเข้าไปสามารถอยู่รอดได้ดี ส่วนหนึ่งของไขมันสามารถอยู่ได้นานเป็นปีหรือในบางกรณีอาจติดถาวร ทำให้ไม่ต้องกลับมาเติมบ่อยๆต่างจากฟิลเลอร์ที่ต้องฉีดซ้ำทุก 6-18 เดือน อย่างไรก็ตาม การติดของไขมันขึ้นอยู่กับการดูแลหลังทำและปัจจัยของแต่ละบุคคล
  • ช่วยฟื้นฟูผิวใต้ตาให้ดูชุ่มชื้นขึ้น
    ไขมันที่ฉีดเข้าไปมีองค์ประกอบที่ช่วยให้ผิวใต้ตาดูสดใสขึ้น โดยช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นให้กับผิว ลดเลือนริ้วรอยเล็กๆและทำให้เนื้อเยื่อใต้ตาดูเรียบเนียนขึ้น กระบวนการนี้ไม่เพียงช่วยเติมเต็มร่องลึก แต่ยังช่วยให้ใต้ตาดูสุขภาพดีขึ้นด้วย
  • สามารถฉีดเพิ่มในภายหลังได้หากต้องการปรับแต่ง
    หากหลังฉีดไขมันแล้วพบว่าปริมาณที่เติมยังไม่เพียงพอ สามารถกลับมาฉีดเติมเพิ่มได้ โดยไม่ต้องกังวลเรื่องการเข้ากันของเนื้อเยื่อ อย่างไรก็ตามต้องรอให้ไขมันที่ฉีดไปก่อนหน้านี้เซ็ตตัวดีแล้วประมาณ 3-6 เดือนก่อนจะเติมใหม่เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่เรียบเนียน

ข้อเสียของการฉีดไขมันใต้ตา

  • บางส่วนของไขมันอาจสลายไปเองหลังฉีด
    ในช่วง 1-3 เดือนแรก ไขมันบางส่วนอาจถูกดูดซึมไปตามธรรมชาติ ซึ่งอาจทำให้ต้องฉีดเผื่อไว้เล็กน้อยตั้งแต่แรก หากไขมันสลายไปมากอาจต้องเติมใหม่เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่พอดี ปัจจัยนี้ทำให้ผลลัพธ์แตกต่างกันไปในแต่ละบุคคล
  • ต้องผ่านกระบวนการดูดไขมันจากร่างกายก่อน
    ต่างจากฟิลเลอร์ที่สามารถฉีดเข้าใต้ตาได้เลย การฉีดไขมันต้องมีขั้นตอนการดูดไขมันจากร่างกายมาก่อน ซึ่งอาจทำให้มีแผลเล็กๆจากบริเวณที่ดูดไขมันเช่นหน้าท้อง หรือต้นขา แม้ว่าแผลจะมีขนาดเล็กและฟื้นตัวเร็วแต่ก็เป็นขั้นตอนที่ต้องพิจารณา
  • ใช้เวลาพักฟื้นมากกว่าการฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา
    หลังฉีดไขมันอาจมีอาการบวมและตึงใต้ตาในช่วงแรกและต้องใช้เวลาประมาณ 5-7 วันเพื่อให้ยุบบวม นอกจากนี้ยังต้องดูแลแผลจากการดูดไขมันให้สะอาดเพื่อป้องกันการติดเชื้อ ในขณะที่การฉีดฟิลเลอร์สามารถใช้ชีวิตตามปกติได้เกือบทันที
  • ต้องทำโดยแพทย์ที่มีประสบการณ์สูง
    การฉีดไขมันใต้ตาต้องอาศัยความแม่นยำสูงเพราะหากฉีดไม่ถูกชั้นผิว อาจทำให้ไขมันจับตัวเป็นก้อนหรือกระจายไม่สม่ำเสมอ ส่งผลให้ใต้ตาดูไม่เรียบเนียน นอกจากนี้หากฉีดไขมันมากเกินไป อาจทำให้ใบหน้าดูบวมผิดธรรมชาติจึงต้องเลือกทำกับแพทย์ที่มีความชำนาญในด้านนี้โดยเฉพาะ

การฉีดไขมันใต้ตา มีขั้นตอนการทำอย่างไร

ขั้นตอนที่ 1 วิเคราะห์ใบหน้า

แพทย์จะประเมินโครงสร้างใบหน้าโดยละเอียดเพื่อดูว่าควรเติมไขมันบริเวณไหนให้ดูเป็นธรรมชาติและสมดุลที่สุด การวิเคราะห์นี้ต้องอาศัยทั้งความรู้ทางศัลยกรรมและศิลปะเพื่อให้เข้าใจถึงมิติของใบหน้าอย่างแท้จริง โดยเฉพาะการเติมไขมันในจุดที่ช่วยปรับสมดุลเช่นขมับตอบหรือแก้มที่ดูตอบมากเกินไป แพทย์จะพิจารณาตามลักษณะใบหน้าของแต่ละบุคคล ไม่สามารถใช้เทคนิคเดียวกับทุกคนได้

ขั้นตอนที่ 2 การดูดไขมัน

แพทย์จะดูดไขมันจากบริเวณที่มีไขมันส่วนเกินเช่นต้นขาหรือหน้าท้อง โดยใช้เทคนิคที่ช่วยรักษาคุณภาพของเซลล์ไขมันให้ดีที่สุด ปริมาณไขมันที่ดูดจะตามที่แพทย์ประเมินและใช้เวลาไม่เกิน 30 นาที  ส่วนใหญ่คนไข้เลือกฉีดยาชาแทนการดมยาสลบ พราะเจ็บน้อยและสามารถพูดคุยกับแพทย์ระหว่างทำได้

ขั้นตอนที่ 3 การคัดแยกไขมันและสกัด Growth Factors

ไขมันที่ดูดออกมาจะถูกคัดแยกอย่างละเอียดโดยใช้อุปกรณ์เฉพาะที่ช่วยรักษาคุณภาพของเซลล์ไขมันให้มากที่สุด จากนั้นแพทย์จะนำเลือดของคนไข้มาสกัด Growth Factors เพื่อช่วยให้ไขมันติดดีขึ้นและเพิ่มอัตราการอยู่รอดของไขมันถึง 80-90% Growth Factors เปรียบเสมือนสารอาหารที่ช่วยให้เซลล์ไขมันแข็งแรงและคงอยู่ได้นานขึ้น

ขั้นตอนที่ 4 การฉีดไขมันเข้าสู่ใบหน้า

แพทย์จะฉีดไขมันเข้าไปตามจุดที่ต้องการเติมเต็มโดยใช้เทคนิค Micro Fat Grafting เพื่อให้ไขมันกระจายตัวเป็นชั้นบางๆและติดทนได้ดี ปริมาณที่ฉีดต้องคำนวณให้พอดีเพราะหากฉีดมากเกินไปอาจทำให้ใบหน้าบวมและดูผิดธรรมชาติ อีกทั้งไขมันที่ใบหน้าหากติดแล้วจะคงอยู่ได้นาน การแก้ไขไขมันส่วนเกินเป็นเรื่องยาก แพทย์จึงต้องมีความเชี่ยวชาญในการฉีดให้สมดุลและเหมาะสมกับใบหน้าของแต่ละบุคคล

การดูแลตัวเองหลังฉีดไขมันใต้ตา ทำได้อย่างไร

  • หลีกเลี่ยงการกดหรือสัมผัสบริเวณใต้ตาโดยตรง
    หลังฉีดไขมัน ควรหลีกเลี่ยงการนวด ขยี้ตา หรือกดทับบริเวณใต้ตาโดยไม่จำเป็น เพราะอาจทำให้ไขมันเคลื่อนที่หรือกระจายตัวไม่สม่ำเสมอ
  • นอนหมอนสูงและหลีกเลี่ยงการนอนคว่ำ
    ควรนอนหมอนสูงเพื่อช่วยลดอาการบวมและหลีกเลี่ยงการนอนคว่ำหน้าในช่วง 1-2 สัปดาห์แรก เพื่อป้องกันไม่ให้ไขมันเคลื่อนผิดตำแหน่ง
  • งดออกกำลังกายหนักและหลีกเลี่ยงความร้อน
    ในช่วง 2-4 สัปดาห์แรก ควรงดกิจกรรมที่ทำให้เหงื่อออกมากเช่นการออกกำลังกายหนัก การซาวน่า หรือการอาบน้ำอุ่นจัด เพราะอาจทำให้เซลล์ไขมันที่ฉีดเข้าไปสลายเร็วขึ้น
  • รับประทานอาหารที่ช่วยบำรุงเซลล์ไขมัน
    ควรเลือกรับประทานอาหารที่มีไขมันดีเช่นอะโวคาโด ปลาแซลมอน และถั่ว เพื่อช่วยให้ไขมันติดดีขึ้น หลีกเลี่ยงของทอด อาหารแปรรูป และแอลกอฮอล์ที่อาจส่งผลต่อคุณภาพของเซลล์ไขมัน
  • ติดตามผลและเข้าพบแพทย์ตามนัด
    ควรกลับไปพบแพทย์เพื่อติดตามผลลัพธ์และตรวจเช็คว่าไขมันติดดีหรือไม่ ในช่วง 1-3 เดือนแรกไขมันอาจมีการปรับตัว หากมีข้อสงสัยหรืออาการผิดปกติควรปรึกษาแพทย์ทันที

ผลข้างเคียงหลังทำการฉีดไขมันใต้ตา มีอะไรบ้าง

  • อาการบวมและช้ำใต้ตาในช่วงแรก
    หลังทำอาจมีอาการบวมและรอยช้ำใต้ตาประมาณ 5-7 วัน ขึ้นอยู่กับสภาพร่างกายของแต่ละบุคคล อาการบวมจะค่อย ๆ ดีขึ้นเอง และสามารถใช้ประคบเย็นช่วยลดอาการได้
  • ไขมันบางส่วนอาจสลายไปเองในช่วงแรก
    ปริมาณไขมันที่ฉีดเข้าไปอาจมีบางส่วนถูกดูดซึมและสลายไปในช่วง 1-3 เดือนแรก ซึ่งเป็นเรื่องปกติ แพทย์มักฉีดเผื่อไว้เล็กน้อยตั้งแต่แรกเพื่อลดผลกระทบจากการสลายของไขมัน
  • ใต้ตาอาจดูเป็นก้อนหากไขมันไม่กระจายตัวดี
    หากไขมันกระจายตัวไม่สม่ำเสมอหรือมีการฉีดไขมันผิดชั้นผิว อาจทำให้เกิดลักษณะเป็นก้อน หรือเห็นเป็นรอยนูนใต้ผิว ควรเลือกแพทย์ที่มีความชำนาญเพื่อป้องกันปัญหานี้
  • อาการคันหรืออักเสบจากแผลดูดไขมัน
    บริเวณที่ดูดไขมันอาจมีรอยแดง คัน หรือบวมเล็กน้อยในช่วงแรก ควรดูแลแผลให้สะอาดและหลีกเลี่ยงการสัมผัสแผลโดยไม่จำเป็น
  • ความไม่สมมาตรของไขมันใต้ตา
    หากเซลล์ไขมันติดไม่เท่ากันอาจทำให้ใต้ตาดูไม่สมมาตรซึ่งอาจต้องมีการฉีดเติมเพิ่มหลังจากครบ 3-6 เดือนเพื่อปรับให้ดูสมดุลขึ้น

เลือกคลินิกหรือแพทย์ในการฉีดไขมันใต้ตา อย่างไรให้ปลอดภัย

  • ตรวจสอบความเชี่ยวชาญและประสบการณ์ของแพทย์
    ควรเลือกแพทย์ที่มีประสบการณ์ในการฉีดไขมันใต้ตาโดยเฉพาะ แพทย์ต้องมีความเข้าใจเกี่ยวกับโครงสร้างใบหน้าและสามารถออกแบบการฉีดให้เหมาะสมกับแต่ละบุคคล
  • คลินิกต้องได้รับการรับรองมาตรฐาน
    ควรเลือกคลินิกที่มีใบอนุญาตประกอบการทางการแพทย์และมีมาตรฐานด้านความสะอาดและความปลอดภัย ตรวจสอบว่าใช้เครื่องมือและอุปกรณ์ที่ผ่านการฆ่าเชื้ออย่างถูกต้อง
  • เลือกคลินิกที่มีการใช้เทคนิคที่ช่วยให้ไขมันติดดีขึ้น
    คลินิกที่ใช้เทคนิคการคัดแยกไขมันที่ดี จะช่วยเพิ่มอัตราการติดของไขมันหลังฉีด ทำให้ผลลัพธ์อยู่ได้นานขึ้นและลดปัญหาการสลายของไขมันที่รวดเร็วเกินไป
  • ดูรีวิวจากผู้ที่เคยเข้ารับบริการ
    การดูรีวิวจากผู้ที่เคยทำจริงเป็นอีกวิธีที่ช่วยให้เห็นผลลัพธ์ที่เป็นไปได้และช่วยประเมินว่าแพทย์สามารถให้ผลลัพธ์ที่สม่ำเสมอและเป็นธรรมชาติหรือไม่
  • มีการติดตามผลหลังทำและให้คำแนะนำอย่างละเอียด
    คลินิกที่ดีควรมีการติดตามผลหลังฉีดไขมัน และให้คำแนะนำในการดูแลตัวเองอย่างละเอียด หากมีปัญหาหรือข้อสงสัย ต้องสามารถติดต่อแพทย์ได้เพื่อขอคำปรึกษาเพิ่มเติม

การเลือกคลินิกและแพทย์ที่เหมาะสมเป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยให้การฉีดไขมันใต้ตาได้ผลลัพธ์ที่ดีและลดความเสี่ยงของภาวะแทรกซ้อน

ฉีดไขมันใต้ตากับ PMED ดีกว่าอย่างไร?

1. เทคนิค Reju Fat ด้วย Growth Factor ช่วยให้ไขมันติดทนสูงสุด

ที่ PMED Clinic เราใช้ เทคนิค Reju Fat ซึ่งเป็นการนำ Growth Factors มาผสมกับไขมันก่อนฉีดเข้าใต้ตา วิธีนี้ช่วยเพิ่มอัตราการติดของไขมันได้สูงถึง 80-90% ทำให้ไขมันอยู่ได้นานขึ้นและช่วยให้ผลลัพธ์เรียบเนียนเป็นธรรมชาติมากกว่า Growth Factors ยังช่วยฟื้นฟูเซลล์ผิวใต้ตา ลดความคล้ำและทำให้ผิวดูอิ่มน้ำมากขึ้น การฉีดไขมันที่นี่จึงไม่ใช่แค่เติมเต็มร่องลึกแต่ยังช่วยบำรุงผิวใต้ตาไปในตัว

2. แพทย์ผู้ชำนาญการด้านการเติมไขมัน ประสบการณ์กว่า 10 ปี ทำมากกว่า 10,000 เคส

คุณหมอต้น (นพ.ปิยพล พัฒนครู) เป็นศัลยแพทย์ตกแต่งเฉพาะทางที่มีประสบการณ์มากกว่า 10 ปี และมีเคสการเติมไขมันมากกว่า 10,000 เคส ซึ่งหมายความว่าทุกเคสได้รับการดูแลจากแพทย์ที่มีประสบการณ์สูง เทคนิคที่หมอใช้ไม่ได้เป็นเพียงแค่การเติมไขมันใต้ตาแต่เป็นการออกแบบใบหน้าให้ดูสมดุล ไม่เป็นก้อน ไม่เป็นคลื่น และเข้ากับโครงหน้าของแต่ละบุคคลซึ่งเป็นสิ่งที่แตกต่างจากการฉีดไขมันทั่วไป

3. PMED เป็นหนึ่งในคลินิกแรก ๆ ที่นำเทคนิคฉีดไขมันมาใช้ และพัฒนาอย่างต่อเนื่อง

ที่ PMED Clinic เราเป็นหนึ่งในคลินิกแรกๆในประเทศไทยที่นำเทคนิคฉีดไขมัน (Fat Grafting) มาใช้ และได้พัฒนาเทคนิค Reju Fat ให้ดียิ่งขึ้นตลอดหลายปีที่ผ่านมา เราปรับปรุงวิธีการคัดแยกไขมัน และเพิ่มเทคนิคการฉีดที่ช่วยให้ไขมันกระจายตัวได้ดีขึ้นลดโอกาสเกิดก้อนแข็ง หรือความไม่เรียบของใต้ตาด้วยความเชี่ยวชาญและการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง ทำให้เรากลายเป็นหนึ่งในคลินิกที่ได้รับความไว้วางใจมากที่สุดในด้านการฉีดไขมัน

4. แผลเล็ก เจ็บน้อย พักฟื้นไว เห็นผลเร็ว

การดูดไขมันและฉีดไขมันที่ PMED Clinic ใช้เทคนิคเฉพาะที่ช่วยลดการบาดเจ็บของเนื้อเยื่อ ทำให้แผลมีขนาดเล็กมาก ลดการเกิดรอยช้ำ และพักฟื้นเร็ว คนไข้ส่วนใหญ่สามารถใช้ชีวิตได้ตามปกติหลังทำเพียงไม่กี่วัน ไม่ต้องพักฟื้นนาน และไม่ต้องกังวลเรื่องอาการบวมช้ำที่มากเกินไป เพียงแค่ดูแลตัวเองตามคำแนะนำของแพทย์ และหลีกเลี่ยงการกดทับใต้ตา

5. ผลลัพธ์ติดทนนาน 3-5 ปี หรือมากกว่านั้น

ไขมันที่ฉีดเข้าไปสามารถอยู่ได้นาน 3-5 ปี หรือมากกว่านั้น หากดูแลตัวเองดีเทคนิค Reju Fat ที่ PMED Clinic ช่วยเพิ่มอัตราการรอดของเซลล์ไขมัน ลดการสลายตัวและช่วยให้ไขมันอยู่ได้นานขึ้น ต่างจากการฉีดไขมันแบบทั่วไปที่อาจสลายเร็ว เมื่อไขมันติดดีแล้วใต้ตาจะดูเต็มขึ้น ใบหน้าดูสดใสขึ้นโดยไม่ต้องเติมไขมันใหม่บ่อยๆ

บทความน่ารู้ 11 เรื่องควรรู้ ก่อนเติมไขมันหน้า ตอบทุกข้อสงสัยเรื่องเติมไขมันหน้าเด็ก (อัพเดต 2025)

สรุป ทำไมต้องฉีดไขมันใต้ตาที่ PMED?

ที่ PMED Clinic เราให้ความสำคัญกับผลลัพธ์ที่ดูเป็นธรรมชาติและอยู่ได้นาน โดยใช้ เทคนิค Reju Fat ที่ช่วยให้ไขมันติดดีขึ้น ลดความเสี่ยงของการเป็นก้อนและช่วยฟื้นฟูผิวใต้ตาให้สดใสขึ้น ประกอบกับประสบการณ์ของคุณหมอต้นที่ดูแลเคสมาแล้วกว่า 10,000 ราย ทำให้มั่นใจได้ว่าทุกเคสจะได้รับการออกแบบอย่างแม่นยำและเหมาะสมที่สุด หากคุณต้องการแก้ปัญหาใต้ตาลึก ขอบตาคล้ำหรือใต้ตาโทรม การฉีดไขมันที่ PMED คือทางเลือกที่ให้ผลลัพธ์ที่แตกต่างจากที่อื่น

FAQ คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับการฉีดไขมันใต้ตา

1. ฉีดไขมันใต้ตาอยู่ได้นานแค่ไหน?

ไขมันที่ฉีดเข้าไปสามารถอยู่ได้นาน 3-5 ปี หรือบางส่วนอาจอยู่ถาวร ขึ้นอยู่กับอัตราการติดของไขมันและการดูแลหลังทำ เทคนิค Reju Fat ที่ PMED Clinic ช่วยให้ไขมันติดดีขึ้น ลดการสลายตัวของไขมัน ทำให้ผลลัพธ์คงอยู่นานกว่าการฉีดไขมันแบบทั่วไป หากดูแลตัวเองดีเช่นรับประทานอาหารที่ช่วยบำรุงเซลล์ไขมัน หลีกเลี่ยงพฤติกรรมที่ทำให้ไขมันสลายเร็วเช่นการลดน้ำหนักอย่างรวดเร็ว ไขมันที่ติดแล้วสามารถอยู่ได้นานโดยไม่ต้องเติมซ้ำบ่อยๆ

2. ฉีดไขมันใต้ตาทำให้ผิวไม่เรียบ จริงหรือไม่?

หากฉีดโดยแพทย์ที่มีประสบการณ์และใช้เทคนิคที่เหมาะสม โอกาสที่ไขมันจะเป็นก้อนหรือไม่เรียบมีน้อยมาก การกระจายไขมันเป็นชั้นบางๆและฉีดอย่างแม่นยำช่วยให้ไขมันเข้ากับเนื้อเยื่อใต้ตาได้ดี เทคนิค Reju Fat ที่ PMED Clinic ช่วยให้ไขมันกระจายตัวได้ดีขึ้นลดปัญหาการเป็นก้อนหรือไขมันไม่เรียบ อย่างไรก็ตามในช่วงแรกหลังทำอาจมีอาการบวมเล็กน้อยซึ่งจะค่อยๆดีขึ้นและเข้าที่ภายใน 1-3 เดือน

3. ฉีดไขมันใต้ตา อันตรายหรือไม่?

การฉีดไขมันใต้ตาถือเป็นหัตถการที่ปลอดภัย หากทำโดยแพทย์ที่มีความชำนาญ เนื่องจากใช้ไขมันจากร่างกายของตัวเอง ไม่มีสารสังเคราะห์หรือสารแปลกปลอม ลดโอกาสเกิดอาการแพ้ อย่างไรก็ตามความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นหากฉีดโดยแพทย์ที่ไม่มีประสบการณ์ได้แก่ไขมันฉีดผิดชั้น ทำให้เป็นก้อน หรือไขมันสลายไปเร็วเกินไป ดังนั้นควรเลือกคลินิกที่มีแพทย์เฉพาะทางและมีประสบการณ์ในการฉีดไขมันเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีและปลอดภัยที่สุด

4. ฉีดไขมันใต้ตา บวมกี่วัน?

หลังฉีดไขมันใต้ตาอาจมีอาการบวมประมาณ 5-7 วัน ซึ่งเป็นอาการปกติ อาการบวมจะค่อยๆลดลงและเข้าสู่ภาวะปกติภายใน 2-3 สัปดาห์ ผลลัพธ์จะเริ่มเข้าที่สมบูรณ์ในช่วง 1-3 เดือนขึ้นอยู่กับสภาพร่างกายของแต่ละบุคคล แนะนำให้หลีกเลี่ยงการกดทับใต้ตา นอนหมอนสูง และงดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในช่วงแรกเพื่อช่วยลดอาการบวมและให้ไขมันติดดีขึ้น

สนใจปลูกผมถาวร: 42G Clinic ปลูกผม

หมวดหมู่ : ทั่วไป

บทความที่เกี่ยวข้อง

pmed clinic6
การเสริมจมูกด้วยกระดูกอ่อนซี่โครงคืออะไร? ปลอดภัยแค่ไหน เหมาะกับใคร?
ในโลกของศัลยกรรมจมูกในปัจจุบัน การเสริมจมูกด้วยกระดูกอ่อนซี่โครง (Rib Cartilage Nose Augmentation) ถ...
S__17391694
คีลอยด์คืออะไร? ทำไมถึงเป็นคีลอยด์ (Keloid)? เป็นแล้วแก้ยังไง
คีลอยด์คืออะไร? คีลอยด์ (Keloid) เป็นผลจากความผิดปกติของกระบวนการรักษาแผลตามธรรมชาติของร่างกาย โดยปก...
เสริมจมูก
เสริมจมูกมีกี่แบบ? ราคาเท่าไหร่? ข้อดีข้อเสียแต่ละแบบ
จมูกเป็นศูนย์กลางของใบหน้าและมีบทบาทสำคัญในการกำหนดมิติของใบหน้าโดยรวม การเสริมจมูกเป็นทางเลือกสำหรั...
จมูกทรงสโลปปลายพุ่ง
จมูกทรงสโลปปลายพุ่งคืออะไร? เลือกทรงแบบไหนให้เหมาะกับตัวเอง
จมูกทรงสโลปปลายพุ่งคืออะไร? ทรงนี้จะเข้ากับใบหน้าของเราหรือไม่? วันนี้ PMED Clinic จะมาแนะนำให้รู้จั...
F8D8046F-3588-44BE-BF6C-6AC9BC65D5B5
ฉีดไขมันบวมกี่วัน? คำถามยอดฮิตที่คนกำลังจะทำต้องรู้! [อัปเดต 2025]
การฉีดไขมัน หรือที่หลายคนเรียกว่า Fat Grafting / Fat Transfer เป็นหัตถการที่นำไขมันจากส่วนอื่นของร่า...
ทรงจมูก
ทรงจมูก แบบไหนดี รู้ก่อน ยื่นเรฟให้หมอ
การเสริมจมูกเป็นหนึ่งในศัลยกรรมยอดนิยมที่ช่วยเพิ่มความมั่นใจและปรับโครงสร้างใบหน้าให้ดูสมดุลขึ้น จมู...