คุณหมอต้นจบการศึกษาจาก
ผมใช้เวลาเรียนแพทย์เฉพาะทางด้านศัลยกรรมทั้งหมด 13 ปีเต็มต่อเนื่อง โดยเริ่มต้นที่คณะแพทยศาสตร์ โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล แล้วมาต่อยอดที่มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ด้าน หู คอ จมูก จากนั้นเรียนด้านศัลยกรรมตกแต่งเพิ่มเติมเฉพาะทางโรงพยาบาลจุฬาฯ จนกระทั่งจบเป็นอาจารย์สอนนักศึกษาแพทย์ที่วชิรพยาบาล และออกมาเปิดคลินิกเมื่อปลายปีพ.ศ. 2556
ทำไมจึงสนใจด้านการศัลยกรรม
ช่วงที่เรียนแพทย์ปีหก ผมเริ่มมองเห็นแนวทางของตัวเองว่าจะเรียนด้านศัลยกรรมตกแต่ง เพราะผมมีความสนใจเฉพาะส่วน นั่นคือใบหน้าซึ่งเป็นจุดเด่นที่สุดของมนุษย์เรา ตอนนั้นมีวิชาศัลยกรรมตกแต่งซึ่งกำลังพัฒนาและเริ่มมีสาขาที่ลงลึกลงไปชื่อว่าวิชาศัลยศาสตร์ตกแต่งและเสริมสร้างใบหน้า ซึ่งเป็นการเรียนที่ลงลึกมากขึ้น จำกัดเฉพาะใบหน้า เราเรียนทุกตำแหน่งของใบหน้าลงมาถึงคอ ซึ่งตรงกับความชอบของผมเลย อีกอย่างคือสมัยที่ผมเรียน ประเทศไทยยังไม่ค่อยมีหมอศัลยกรรมเก่งๆ การศัลยกรรมยังไม่ค่อยได้รับการยอมรับ ยังไม่ค่อยมีเคสสวยๆ ให้เห็น ตอนที่ผมทำใหม่ๆ ก็ยังใช้เทคนิคโบราณๆ เช่น ใส่ซิลิโคน ดึงหน้าแผลใหญ่มาก ตาก็ทำแค่ตาสองชั้นธรรมดา ดูดไขมันก็ยังไม่ค่อยมี ผมก็อยากเข้ามาพัฒนาตัวเองและพัฒนาวงการนี้
คุณหมอเคยบอกว่าการที่เกาหลีพัฒนาด้านการศัลยกรรมมีผลดีกับประเทศไทยด้วย
อันที่จริงเกาหลีพัฒนาหลังเราอีก เพราะประเทศเขาล้มลุกคลุกคลานกว่าเรา หมอไทยไปเรียนด้านศัลยกรรมที่อเมริกาและที่ดังๆ มาแล้ว แต่เมื่อกลับมาเราทำกันแค่เฉพาะกลุ่ม เพราะคนยังอายเรื่องการทำศัลยกรรม หมอก็มีเพียงกลุ่มเล็กๆ ใช้เทคนิคไหนก็ใช้แค่แบบนั้น เพราะไม่มีคู่แข่ง เทียบกับเกาหลี เขาพัฒนาหลังเราแต่เขาตระหนักว่าการศัลยกรรมความงามแก้ปัญหาของคนในประเทศได้ พวกเขาตั้งเป้าไว้ว่าการทำศัลยกรรมของประเทศเขาจะต้องเป็นที่หนึ่ง จึงมีการรวมกลุ่มกันพัฒนาด้านศัลยกรรมตกแต่งความงามขึ้นมาเป็นระบบและได้รับการยอมรับ ต่อมาเมื่อเกิดกระแสเกาหลีฟีเวอร์ มีโฆษณา ดารา นักร้องเคป๊อปเข้ามา คนไทยเริ่มเห็นว่าดาราเกาหลีทำศัลยกรรมจนเป็นเรื่องปกติ ขนาดว่าสวยอยู่แล้วก็ยังทำนิดหน่อยให้เป๊ะ ช่วงนั้นนับว่าเป็นก้าวกระโดดของวงการศัลยกรรมบ้านเราเพราะทำให้คนไทยมีมุมมองเปลี่ยนไป ตอนนั้นผมกำลังเรียนศัลยกรรมตกแต่งใบหน้าอยู่ก็มีเคสทำเยอะขึ้นๆ
ถ้าเทียบกันแล้วทุกวันนี้เทคนิคของเราเทียบกับเกาหลีแล้วสู้ได้ไหม
เมื่อเทียบกับวงการแพทย์ศัลยกรรมของประเทศไทย เครื่องไม้เครื่องมือ และองค์ความรู้ที่มีไม่ได้แตกต่างกันเลย เพราะว่าองค์ความรู้ที่ได้มาก็มาจากทางฝั่งตะวันตก เป็นองค์ความรู้เดียวกัน แล้วสังเกตว่าช่วงหลังมีเคสคนไทยไปทำที่เกาหลีแล้วพังเยอะขึ้น เพราะหมอเกาหลีอาจจะทำไม่ค่อยละเอียด ไม่เข้าใจใบหน้าคนไทย ทำแล้วไม่ค่อยกลมกลืน หมอบางคนทำออกมาคนไข้หน้าบล็อกเดียวกันหมด เอาเป็นว่าหมอไทยไม่ได้เก่งน้อยกว่าเกาหลีหรอกครับ มีอย่างเดียวที่เขาเก่งกว่าเรา นั่นคือการตอกโหนกตัดกราม เพราะเป็นสิ่งที่เราไม่ค่อยได้ทำ
คุณหมอมีเป้าหมายอย่างไรบ้างตอนเปิดคลินิกของตัวเอง
ผมมีความชอบในเรื่องศัลยกรรมความงามและตั้งใจจะทำให้มันดี วิสัยทัศน์ของเราคือ “ทำดีที่สุดเท่าที่ทำได้และพัฒนาอย่างต่อเนื่อง ด้วยนวตกรรมและประสบการณ์ที่เราได้สั่งสมมา” ผมมีคติที่จะทำให้คนไข้ได้ในสิ่งที่ดีที่สุดและเสียอะไรๆ น้อยที่สุด เช่น ไม่ช้ำ ไม่บวม พักฟื้นน้อย แผลน้อย ทำแล้วไม่ต้องกลับมาแก้ ไม่ทำอะไรเกินความจำเป็น ฯลฯ
ทราบมาว่าทีมแพทย์ของ Pmed Clinic ถ้าไม่เก่งกว่าคุณหมอต้นก็ต้องเก่งกว่า
ผมเลือกเคสให้เหมาะกับศัลยแพทย์แต่ละคน คือใครเก่งอันไหนก็ทำอันนั้นไปเลย เป็น Super Specialists ทุกท่านจบเฉพาะทางด้านศัลยกรรมตกแต่งฯ และผมเลือกแต่ทีมงานที่ผมไว้ใจเท่านั้น
อยากทราบความเคลื่อนไหวของวงการศัลยกรรม ณ ปัจจุบัน
ตอนนี้ ถ้าเป็นเรื่องการทำจมูกกับเติมไขมัน เทคนิคค่อนข้างนิ่งมาก ผมคาดว่าอีก 10 ปีเทคนิคการทำศัลยกรรมทุกอย่างจะนิ่งแล้ว วัดกันที่ประสบการณ์อย่างเดียว แต่ถึงเราจะมั่นใจเราก็ต้องศึกษาเพิ่มเติมตลอด ผมยังต้องไปประชุม ยังส่งทีมแพทย์ไปดูงานเรื่อยๆ ล่าสุดเราไปเกาหลี ดูเรื่องการทำหน้าผากกับยกคิ้ว คือถึงเราจะมีประสบการณ์แต่เราก็ต้องรู้ด้วยว่าคนอื่นเขาทำอะไรกัน ไปถึงไหนแล้ว แต่ถ้าเป็นเทคนิคที่ใหม่มากๆ ผมจะไม่กระโดดไปใช้ทันที ต้องรอดูผลก่อน เพราะบางอย่างก็ไม่จำเป็น ของใหม่ไม่ใช่ว่าดีเสมอไป แต่หลายคนมองว่าของใหม่ๆ มีจุดขายก็เอามาใช้เลย แต่ผมไม่อยากเอาคนไข้ไปทดลอง เราต้องรู้ก่อนว่าทำแล้วได้อะไร ทำแล้วคุ้มไหม
คุณหมอบอกว่าคุณหมอไม่อยากขายเทคนิค ไม่โฆษณาเครื่องมือ แถมยังไม่มีแพ็กเกจมาจูงใจลูกค้าด้วย แล้วคุณหมอขายอะไร
ผมขายความอาร์ต ความเป็นศิลปะ ความเฉพาะตัว เพราะคนแต่ละคนมีเอกลักษณ์ที่ไม่เหมือนกันเลย และเรื่องการศัลยกรรมมันต้องใช้อาร์ตนำหน้าเสมอ ผมขายประสบการณ์ ขายฝีมือ ที่บอกว่าไม่ขายเทคนิคเพราะจริงๆ แล้วมันมีเทคนิคให้ใช้เยอะมาก เรารู้ทุกเทคนิคแต่การนำมาใช้ต้องดูเป็นเคสๆ ไป ไม่ตายตัว ส่วนเครื่องมือและอุปกรณ์ทุกอย่าง ผมบอกได้ว่าผมเลือกเกรดที่ผมคิดว่าดีที่สุดมาใช้ แต่ไม่อยากโฆษณาหรือไปช่วยเขาขายของ เพราะอันที่จริงมันขึ้นอยู่กับคนที่ใช้เครื่องมือมากกว่า ส่วนเรื่องราคา อย่างที่บอกว่าเราดูเป็นเคสๆ ไป เรื่องราคาจึงอยากให้โทรมาปรึกษาครับ แต่ถ้าเทียบกับของที่อื่น ผมก็คิดว่าของผมไม่แพง
อยากให้คุณหมอฝากถึงคนที่คิดอยากจะทำศัลยกรรมว่าต้องเตรียมตัวอย่างไรบ้าง
อยากให้หาข้อมูลมากๆ เพราะปัจจุบันวงการศัลยกรรมบ้านเรายังมีช่องโหว่อยู่ คลินิกศัลยกรรมความงามหลายแห่งก่อตั้งโดยคนที่ไม่ได้ต่อยอดด้านศัลยศาสตร์ความงามและตกแต่งใบหน้า ซึ่งความชำนาญและความคิดมุมมองจะต่างกันมาก คนที่จบเฉพาะทางจะเข้าใจว่าคนไข้ต้องเจออะไรบ้างในแต่ละเคส เราจะกังวลเรื่องความปลอดภัยของคนไข้มาก เรามีครูมีอาจารย์ แต่ละเคสที่ทำมีการควบคุม มีหลักฐานอ้างอิง เคยผ่านวอร์ดง่ายไปหายาก เคยได้มอนิเตอร์คนไข้ทีละวันๆ มาแล้ว ฯลฯ
แต่ในท้องตลาดมีหมอที่จบปีหกแล้วเข้าคลินิกเลยเยอะมาก เขาอาจไปเทรนมาบ้างแล้วก็ทำได้บ้างไม่ได้บ้าง เคสไหนทำแล้วพลาดก็แค่คืนเงิน แต่คนไข้เสียหายไปแล้ว แบบนี้ก็มีเยอะ เพราะฉะนั้นใครที่ต้องการทำศัลยกรรมจึงต้องหาข้อมูลให้รอบด้าน เช่น เช็กชื่อนามสกุลจากเว็บไซต์ของแพทยสภา ก็จะพอรู้ข้อมูลคร่าวๆ ว่าคนคนนี้จบอะไรมา จบมากี่ปีแล้ว ลองดูรีวิวหลายๆ แห่ง ซึ่งจริงๆ แล้วการรีวิวก็ยังปลอมกันได้นะครับ มันมีกระทั่งการซื้อรูปภาพ Before – After ของคนอื่นมาโชว์แล้วบอกว่าเป็นคลินิกของตัวเองด้วย คือมันต้องเลือกดูให้ดีเลยว่าคนที่จะทำให้เราเป็นใคร มีประสบการณ์แค่ไหน เพราะสิ่งที่เขาทำมันจะอยู่กับคุณไปอีกนานหรือไม่ก็ตลอดไป